http://www.ktc.co.th/
ข้อมูลคร่าว ๆ ย้อนหลังไปปีนึงเพราะเป็น 56-1 ของสิ้นปี 2553
ภาพรวมการประกอบธุรกิจ
ธุรกิจของ KTC คือการให้บริการสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคแบบไม่มีหลักประกันสำหรับผู้บริโภคทั่วประเทศ สมาชิกส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 58 อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อบุคคลเป็นธุรกิจหลัก
โดยธุรกิจของบริษัท สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก คือ
1.ธุรกิจบัตรเครดิต (Credit Card Business)
ในปี 2553 ธุรกิจบัตรเครดิตมีสัดส่วนของลูกหนี้สินเชื่อบัตรเครดิตคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 76 ของจำนวนลูกหนี้สุทธิทั้งหมด ทั้งนี้ธุรกิจบัตรเครดิตของ KTC มีลักษณะเฉพาะที่สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ได้แก่ บัตรเครดิตหลากหลายชนิดที่ได้รับการออกแบบให้ตอบสนองความต้องการของสมาชิกแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกันได้อย่างเหมาะสม ซึ่งสมาชิกจะได้รับสิทธิประโยชน์แตกต่างกันไปในแต่ละร้านค้าและบริการจากพันธมิตรทางการค้าของKTC และนอกจากนี้ยังมีรายการส่งเสริมการใช้บัตรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น รายการสะสมคะแนน “Forever Rewards” ที่ให้ลูกค้าสะสมคะแนนแบบไม่มีวันหมดอายุและสามารถใช้คะแนนแลกซื้อสินค้าประเภทใด ๆ ตามความต้องการ ณ ร้านค้าที่เข้าร่วมรายการกับ KTC
ทั้งนี้ธุรกิจบัตรเครดิต ได้แยกออกเป็น 3 ด้าน คือ ธุรกิจการออกบัตรเครดิต ธุรกิจร้านค้ารับบัตรเครดิต และธุรกิจสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิต
1.1 ธุรกิจการออกบัตรเครดิต (Issuing Business)
ธุรกิจการออกบัตรเครดิต (Issuing Business) เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือบัตรเครดิต เริ่มตั้งแต่การจัดหาลูกค้าบัตรเครดิต การอนุมัติวงเงินให้กับผู้ถือบัตรเครดิต การกำกับดูแลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต การรับชำระหนี้ และการติดตามหนี้ โดยที่ธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตร (Issuing Bank) จะมีรายได้เป็นค่าธรรมเนียมในการทำรายการต่าง ๆ และดอกเบี้ยรับ ทั้งนี้ค่าธรรมเนียมที่ได้รับจะประกอบด้วยค่าธรรมเนียมที่ได้รับในฐานะธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตร เรียกว่า Interchange Fee ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทุกครั้งที่ผู้ถือบัตรนำบัตรของบริษัทไปชำระค่าสินค้าและบริการ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องรูดบัตรของธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตร หรือสถาบันการเงินใด ๆ นอกจากนี้ยังมีการคิดอัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ด้วย เช่น ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน และค่าธรรมเนียมการใช้บริการเบิกเงินสดล่วงหน้า เป็นต้น
1.2 ธุรกิจร้านค้ารับบัตรเครดิต (Acquiring Business)
ธุรกิจร้านค้ารับบัตรเครดิต (Acquiring Business) เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับร้านค้าที่รับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิต โดยบริษัทจะคัดเลือกและติดตั้งเครื่องรูดบัตรให้กับร้านค้า เพื่อกำกับดูแลการอนุมัติการรับชำระค่าสินค้าหรือบริการจากผู้ถือบัตร รวมทั้งควบคุมการกระทำทุจริตของร้านค้า โดยบริษัทจะมีรายได้จากค่าธรรมเนียม ซึ่งคิดตามสัดส่วนของมูลค่าการใช้บัตรผ่านเครื่องรูดบัตรเครดิตทั้งหมด โดยทั่วไปอัตราค่าธรรมเนียมที่คิดจากร้านค้านี้ เรียกว่า “Merchant Discount Rate” ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ได้รับจากร้านค้านี้ส่วนหนึ่งจะต้องแบ่งเพื่อชำระให้กับธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตรอื่น ๆ ที่มาใช้บริการเครื่องรูดบัตรเครดิตของบริษัท
1.3 ธุรกิจสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิต (Circle Loan Business)
ธุรกิจสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิต เป็นธุรกิจการให้สินเชื่อแก่ผู้ถือบัตรเครดิต ซึ่งเป็นสินเชื่อที่รับโอนมาจากธนาคารกรุงไทย โดยบริษัทจะอนุมัติวงเงินสินเชื่อให้แก่ผู้ถือบัตรเพิ่มเติมจากวงเงินการใช้บัตรเครดิตปกติ (ลักษณะคล้ายกับวงเงินเบิกเกินบัญชีของธนาคาร) ทั้งนี้ บริษัทไม่มีนโยบายที่จะขยายการให้บริการสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิตตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา ดังนั้น การดำเนินการในปัจจุบันจะเป็นเพียงการให้บริการกับผู้ถือบัตรที่ยังคงมีบัญชีอยู่และรับชำระสินเชื่อดังกล่าวเท่านั้น โดยยอดลูกหนี้ธนวัฏบัตรเครดิตสุทธิลดลงเหลือเพียง 307 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 และ KTC จะมีรายได้รับจากรายได้ดอกเบี้ยตามมูลค่าของการใช้วงเงินของลูกค้าธนวัฏบัตรเครดิตนั้น ๆ
2 ธุรกิจสินเชื่อบุคคล (Personal Loan Business)
ธุรกิจสินเชื่อบุคคล (KTC CASH) มีสัดส่วนของลูกหนี้คิดเป็นร้อยละ 24 ของลูกหนี้สุทธิทั้งหมด โดยสินเชื่อบุคคลนั้นจะแบ่งออกเป็น 2รูปแบบ
คือ KTC Cash และ KTC Cash Revolve เป็นการบริการให้สินเชื่อสำหรับบุคคลโดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และไม่จำเป็นต้องเป็นลูกค้าบัตรเครดิตของบริษัทมาก่อน ซึ่งได้รับการออกแบบมาสำหรับบุคคลที่มีงานประจำและมีรายได้ต่อเดือนที่แน่นอน KTC Cash จะอยู่ในรูปแบบ Fixed Installment ผู้เปิดบัญชีต้องจ่ายคืนทุกเดือนเป็นจำนวนเงินที่เท่ากันจนกว่าจะชำระหนี้หมด โดยไม่สามารถกลับไปใช้วงเงินที่ได้อีก ซึ่งผู้กู้สามารถเลือกชำระแบบกำหนดระยะเวลา 12- 60 เดือน และสามารถกำหนดวันผ่อนชำระได้ด้วยตนเอง เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและรายรับของตัวผู้กู้ ในขณะที่ KTC Cash Revolve มีคุณสมบัติเด่นคือ เป็นสินเชื่อพร้อมใช้ที่เมื่ออนุมัติจะโอนเงินเข้าบัญชีก้อนแรก และมีวงเงินหมุนเวียนเพื่อการเบิกถอนได้ทุกเมื่อที่ต้องการจากเครื่องเอทีเอ็มทั่วประเทศตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งตัวผู้กู้จะได้รับบัตรกดเงินสดพร้อมวงเงินที่อนุมัติ โดยผู้กู้สามารถกลับไปใช้วงเงินเดิมได้อีก เมื่อทำการชำระคืนKTC จะคัดเลือกลูกค้าที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นโดยกำหนดเป็นผู้มีรายได้ประจำที่มีรายได้ขั้นต่ำจำนวนแตกต่างกันตามประเภทของสินเชื่อบุคคล ซึ่งจะกำหนดวงเงิน 1-5 เท่าของรายได้ และมีอัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกขึ้นอยู่กับการจัดระดับของ Credit Scoring ทั้งนี้
กำหนดเพดานของอัตราดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงินสูงสุดไว้ไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี
KTC จะรับรู้รายได้ของสินเชื่อบุคคลในรูปของรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถาม ค่าอากรแสตมป์ที่คิดเป็นร้อยละของวงเงินกู้ยืม เป็นต้น
นอกจากธุรกิจหลักทั้ง 2 ประเภทที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว KTC ยังมีธุรกิจสินเชื่อเจ้าของกิจการ (KTC Million) ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน สำหรับเจ้าของกิจการที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการ แต่ KTC มีนโยบายที่จะไม่เพิ่มพอร์ตลูกหนี้ของธุรกิจนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2549 เป็นต้นมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ดังนั้น การดำเนินการในปัจจุบันเป็นเพียงการให้บริการแก่ลูกหนี้รายเดิมที่ยังคงมีบัญชีค้างชำระหนี้กับบริษัทอยู่ โดย ณ สิ้นปี 2553 KTC เหลือสัดส่วนของลูกหนี้สินเชื่อเจ้าของกิจการอยู่เพียง 119 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.3 ของลูกหนี้สุทธิทั้งหมดงบการเงิน
งบการเงิน2554
งบการเงิน 2551-2553
โครงสร้างรายได้
โครงสร้างรายได้ของ KTC มาจากรายได้จากดอกเบี้ยรับและค่าธรรมเนียมของสองธุรกิจหลักของบริษัทซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล ซึ่งในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมนั้นได้บันทึกรวมรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงินโดยคำนวณจากยอดลูกหนี้ค้างชำระไว้ด้วย ซึ่งเป็นที่สังเกตว่าภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บริษัทที่ให้บริการสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคที่มิใช่ธนาคารสามารถคิดอัตราดอกเบี้ยได้สูงสุดร้อยละ15 ในขณะที่ภายใต้กฎระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย บริษัทสามารถคิดอัตราดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมได้ถึงร้อยละ 20 สำหรับบัตรเครดิต และร้อยละ 28 สำหรับสินเชื่อบุคคล ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นระหว่าง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย จะบันทึกบัญชีเป็นรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน นอกจากนี้ KTC ยังมีรายได้จากหนี้สูญได้รับคืน ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2545-2550 บริษัทมีรายได้จากการรับจ้างบริหารธุรกิจบัตร Visa Electron ให้กับธนาคารกรุงไทย และได้ยกเลิกการให้บริการดังกล่าวในปี 2550 ต่อมาในปลายปี 2552 บริษัทได้ให้บริการบริหารธุรกิจบัตร Fleet Card ให้กับธนาคารกรุงไทย โดยมีระยะเวลาให้บริการ 6 เดือน นับจากวันที่ 1 ธันวาคม 2552 เป็นต้นไป และหลังจากที่ครบกำหนดสัญญาแล้ว ได้มีการว่าจ้างบริหารต่ออีก 3 เดือน รายละเอียดของโครงสร้างรายได้ตามงบการเงินเฉพาะของบริษัท 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2551- ปี 2553) ดังตาราง
อัตราการเปลี่ยนแปลงของจำนวนบัตร 2551-2553
ปัจจัยความเสี่ยง
1.ปัจจัยความเสี่ยงในการให้สินเชื่อ
ความเสี่ยงจากกระบวนการจัดอันดับเครดิตการให้สินเชื่อ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย
บริษัทตระหนักถึงความเสี่ยงอันอาจเกิดจากกระบวนการจัดอันดับเครดิตเพื่อใช้ในการพิจารณาสินเชื่อให้กับลูกค้าแต่ละรายเป็นอย่างมาก จึงได้กำหนดมาตรฐานการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อทุกประเภท สำหรับการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลนั้น บริษัทจะพิจารณาจากการใช้ Statistical Scoring Model เป็นแนวทางประกอบการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์สินเชื่อ นอกจากนั้น ในขั้นตอนการอนุมัตินั้นจะต้องผ่านการพิจารณาตรวจสอบจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลากหลายหน่วยงาน เพื่อช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการวิเคราะห์และเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปอย่างถูกต้อง
ความเสี่ยงจากการทุจริตบัตรเครดิต
บริษัทได้ให้ความสำคัญกับความเสียหายจากการทุจริตบัตรเครดิต โดยมีการพัฒนาและลงทุนเพื่อเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้บัตรเครดิตของบริษัทในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งได้มีการพัฒนาในตัวของบัตรเครดิตและเครื่องรูดบัตรเครดิตจากเดิมที่ใช้แถบแม่เหล็ก (Electronic Data Capture – EDC) ไปสู่ชิปเทคโนโลยี (Chip Card and EMV Technology) รวมทั้งยังได้มีการลงทุนนำระบบ Online Fraud Detection ใหม่ ที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้ นอกจากนี้บริษัท ยังได้มีการนำระบบการเข้ารหัส (3D-Secure) สำหรับการทำธุรกรรมทาง E-Commerce ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับผู้ถือบัตร และร้านค้าสมาชิก โดยระบบดังกล่าวเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศ โดยในปี 2553 บริษัทมีมูลค่าความเสียหายอันเกิดจากการทุจริตบัตรเครดิตเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 8.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.02 ของสินเชื่อรวม ลดลงร้อยละ 25 จาก ปี 2552 ที่จำนวน 11.9 ล้านบาท
ความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระหนี้
ด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้ธุรกิจสินเชื่อมีความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระหนี้คืนสูงขึ้น แต่บริษัทมีนโยบายให้บริการสินเชื่อเพื่อผู้บริโภครายย่อยแก่ลูกค้าที่มีความสามารถในการจ่ายชำระคืน โดยลูกค้าแต่ละรายจะได้รับวงเงินสินเชื่อที่กำหนดตามความเสี่ยงของแต่ละบุคคล จึงทำให้ความเสี่ยงอันอาจเกิดจากการไม่ได้รับชำระหนี้จากลูกค้าแต่ละรายมีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้ง บริษัทได้กระจายสินเชื่อดังกล่าวไปทั่วทุกอุตสาหกรรม ภูมิภาค และกลุ่มลูกค้า มิได้เน้นเฉพาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทำให้ความเสี่ยงอันอาจเกิดจากการไม่ได้รับชำระหนี้จากลูกค้าอยู่ในระดับต่ำ
2.ป้จจัยความเสี่ยงจากภาวะตลาด
บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงอันเกิดจากการเพิ่มสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ย เป็นผลให้บริษัทมีต้นทุนเงินทุนที่สูงขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังผลการดำเนินงานของบริษัท บริษัทตระหนักดีถึงผลกระทบดังกล่าว ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยตลาดต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัท และบริหารความเสี่ยงของบริษัทให้อยู่ภายในระดับที่ยอมรับได้ บริษัทได้จัดหาเงินกู้ยืมทั้งประเภทระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งประเภทอัตราดอกเบี้ยคงที่และอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยมีการปรับสัดส่วนเงินกู้ยืมแต่ละประเภทให้สอดคล้องกับแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต และสถานะของโครงสร้างสินทรัพย์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม การจัดสัดส่วนดังกล่าวต้องคำนึงถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องร่วมด้วยเสมอ
ความเสี่ยงจากความไม่เพียงพอของเงินทุนหมุนเวียน
บริษัทมีนโยบายในการบริหารเงินทุนให้เพียงพอต่อการขยายตัวของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัทตระหนักถึงความเสี่ยงอันอาจเกิดจากการมีเงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพอ เนื่องจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจไทย รวมถึงสภาวะความผันผวนของตลาดการเงินไม่ว่าจะเป็นตลาดตราสารหนี้หรือตลาดทุน ซึ่งอาจจะมีผลต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทในอนาคต ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องทางการเงินดังกล่าว บริษัทจึงมีมาตรการจัดการสภาพคล่องโดยใช้แบบจำลองในการประเมินสภาพคล่องของบริษัททั้งในระยะสั้นและระยะยาว และใช้ในการจัดสรรเงินทุนเพื่อให้เหมาะสมกับอายุของลูกหนี้ของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทได้รับการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อจากธนาคารกรุงไทย เป็นจำนวนทั้งสิ้น 18,000 ล้านบาท และมีวงเงินเบิกเกินบัญชี (Overdraft) อีกจำนวน 30 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการระดมทุนจากตลาดทุน โดยการออกหุ้นกู้ การออกตั๋วแลกเงิน และแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินหลายแห่ง โดยบริษัทไม่ได้พึ่งพิงสถาบันการเงินแห่งใดแห่งหนึ่งโดยเฉพาะ ณ 31 ธันวาคม 2553 บริษัทมีวงเงินคงเหลือ กับสถาบันการเงินต่าง ๆ จำนวน 21,900 ล้านบาท
3.ปัจจัยความเสี่ยงจากการดำเนินงานของบริษัท
ความเสี่ยงอันเกิดจากการสูญเสียข้อมูล
ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทนั้นจำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูลขนาดใหญ่เกี่ยวกับลูกค้าและรายการธุรกรรมต่าง ๆ ทำให้มีความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ การสูญเสียข้อมูลอันเกิดจากอุบัติเหตุ หรือมีผู้จงใจทำลายข้อมูล หรือความผิดพลาดที่เกิดจากระบบ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงอันเกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลที่สำคัญ บริษัทได้กำหนดมาตรการที่รัดกุมในการรักษาข้อมูล และให้อำนาจเฉพาะบุคคลที่ได้รับอนุญาตในการเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญของลูกค้า สำหรับความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการที่มีผู้จงใจทำลายข้อมูลนั้น บริษัทได้กำหนดให้บริษัทที่ดูแลระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท (FIS (เดิมชื่อ Certegy) และ KCS) จัดทำฐานข้อมูลสำรอง อีกทั้งจะต้องมีกระบวนการนำข้อมูลกลับคืนมาหากข้อมูลถูกทำลาย
ความเสี่ยงอันเกิดจากการควบคุมของภาครัฐ
กระทรวงการคลังได้ออกประกาศอนุญาตให้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยอนุญาตให้ประกอบธุรกิจภายใต้ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 และมอบอำนาจให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ควบคุมดูแลโดยได้ออกประกาศเกี่ยวกับข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจดังกล่าว รวมทั้งมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่สามารถเรียกเก็บจากลูกค้า คุณสมบัติของผู้ถือบัตรเครดิตและลูกค้าสินเชื่อบุคคล ซึ่งบริษัทได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับแล้ว รวมถึงได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็คทรอนิกส์ ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็คทรอนิกส์ พ.ศ. 2551 ซึ่งคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็คทรอนิกส์ และธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลได้ออกประกาศเกี่ยวกับข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศ กฎระเบียบ ข้อบังคับที่ได้ออกมาบังคับใช้แล้วทุกประการ และหากมีการออกกฏหมาย หรือกฎระเบียบ ข้อบังคับใหม่ ๆ ในอนาคต บริษัทก็จะถือปฎิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับนั้น ๆ อย่างเคร่งครัด อนึ่ง หากการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับต่าง ๆ ไม่มีความยืดหยุ่นและไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ในขณะนั้น อาจจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของบริษัทได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ออกกฎระเบียบได้มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบให้สอดคล้องกับภาวะตลาดในขณะนั้น ๆ ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าความเสี่ยงนี้จะถูกบริหารได้อย่างเหมาะสม
ความเสี่ยงอันเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคาร)
ธนาคารซึ่งมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ได้ลงนามในสัญญาการให้บริการด้านงานสนับสนุน (Back Office) กับบริษัทเพื่อให้ความสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทเป็นระยะเวลา 15 ปี โดยบริษัทสามารถใช้เครือข่ายสาขาของธนาคารในการจัดหาสมาชิกและการรับชำระเงินและร่วมใช้ระบบงาน Computer System บางส่วนของธนาคารได้อีกด้วย โดยบริษัทจะจ่ายค่าบริการด้านงานสนับสนุนที่กำหนดตามอัตราตลาดให้กับธนาคาร ทั้งนี้ บริษัทเห็นว่าความเสี่ยงอันอาจเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของธนาคารนั้นมีน้อยมาก เนื่องจากการเข้าทำสัญญาดังกล่าวได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการของธนาคาร นอกจากนี้ในส่วนของการจัดหาสมาชิกนั้น บริษัทมีช่องทางการจัดหาสมาชิกที่หลากหลาย อีกทั้ง ยังได้รับความสนับสนุนจากผู้ประกอบการราย อื่นๆ ในการให้บริการเพื่อเป็นช่องทางการชำระเงินสำหรับลูกค้าของบริษัท ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าอีกด้วย ทั้งนี้ หากธนาคารไม่ปฎิบัติตามสัญญาแล้วนั้น บริษัทสามารถจัดหาผู้ให้บริการรายใหม่ ๆ เพื่อรองรับการดำเนินงานได้ สำหรับในส่วนของระบบงานข้อมูลสารสนเทศนั้น บริษัทร่วมใช้ระบบงานข้อมูลสารสนเทศของธนาคารน้อยมาก อีกทั้งบริษัทยังได้ว่าจ้าง FIS (เดิมชื่อ Certegy) ซึ่งเป็นบริษัทภายนอกมาดูแลระบบสารสนเทศของบริษัทโดยเฉพาะ ดังนั้น การไม่ปฎิบัติตามสัญญาของธนาคารซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นมีน้อยมาก จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของบริษัท
ความเสี่ยงจากสภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นอันเกิดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ประกอบการ
บริษัทได้ตระหนักถึงสภาวะการแข่งขันที่มีความรุนแรงมากขึ้น โดยอาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคา การแย่งชิงลูกค้า หรือการรับโอนหนี้ของลูกค้า ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานรวมทั้งผลประกอบการของบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความชำนาญในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน รวมทั้ง มีการลงทุน พัฒนาและคิดค้นผลิตภัณฑ์และการบริการรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการเข้ามาดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ นั้นจะต้องใช้เวลาในการสำรวจตลาดและวิธีการดำเนินธุรกิจให้เหมาะสมกับธุรกิจที่มีรูปแบบเฉพาะประเภทนี้ ทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบเหนือผู้ประกอบการรายอื่น ๆ เป็นอย่างมาก ดังนั้น บริษัทเห็นว่าการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นนั้นไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของบริษัททั้งในระยะสั้นและระยะยาว
Earning Per Share(EPS) ย้อนหลัง
KTC เพิ่มทุน 773.5 ล้านหุ้น ขายผู้ถือหุ้นเดิม 1:3 ที่ราคา 10 บ./หุ้น
บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC)เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อ 18 มีนาคม 2552 ให้ลดทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จากจำนวน 2,580,162,000 บาทเป็นจำนวน 2,578,334,070 บาท ด้วยการยกเลิกหุ้นสามัญที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายจำนวน 182,793 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นหุ้นที่เหลือจากการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกให้แก่กรรมการและพนักงาน
จากนั้นให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯจากจำนวน 2,578,334,070 บาท เป็นจำนวน 10,313,336,280 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่ จำนวน 773,500,221 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ทั้งนี้ เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในราคาหุ้นละ 10 บาท โดยมีอัตราส่วนการจองซื้อเท่ากับ 1 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้นสามัญใหม่
และภายใต้สถานการณ์ทางการเงินในปัจจุบันของตลาดและประกอบกับแผนการเพิ่มทุนของบริษัทฯ เพื่อเสริมสร้างสภาพคล่อง คณะกรรมการของบริษัทฯ มีความเห็นว่าหากที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติสนับสนุนและอนุมัติการเพิ่มทุนของบริษัทฯ เป็นการสมควรที่บริษัทฯ จะทำการจ่ายเงินปันผลจากผลกำไรของการดำเนินงานในปี 2551 ที่ผ่านมาให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 1 บาท ต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น
สำหรับวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล (Record Date) คือวันที่ 1 เมษายน 2552 และให้รวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นตามมาตรา 225 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 2 เมษายน 2552 และอนุมัติให้จัดสรรทุนสำรองตามกฎหมายเป็นจำนวนเงิน 26,100,000 บาท ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลจะดำเนินการภายในวันที่ 29 พฤษภาคม 2552
จากรูป EPS ย้อนหลัง ปี 2552 มีการขาดทุนจาก ...
เรื่องราวที่ไม่มีในบทวิเคราะห์ของ KTC ที่มา http://settalk.blogspot.com/2010/03/ktc.html
KTC ขาดทุนจริงหรือ?
วันพุธที่3 มีนาคม 2553 ราคาหุ้นของบริษัทบัตรกรุงไทย(KTC) ร่วงลงมา12%ภายในวันเดียว หลังจากประกาศผลประกอบการออกมาว่าขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ7ปี
KTC บริษัทเครดิตการ์ดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขาดทุนในปี52เป็นจำนวน394.8ล้านบาท หลังจากกำไรในปีก่อนหน้าเป็นจำนวนถึง616.74ล้านบาท เกิดอะไรขึ้นกับบริษัทในปีที่แล้ว อะไรทำให้KTCขาดทุนทั้งๆที่รายได้ก็เพิ่มขึ้นเกือบ20%?
เฉลยให้ก็ได้ครับว่าKTCไม่ได้ขาดทุนเพราะบริษัทกำลังจะแย่ลง แต่ขาดทุนเพราะเปลี่ยนระบบการบันทึกบัญชี เปลี่ยนไปยังไง? ไปดู
ระบบบัญชีที่เปลี่ยนไปของKTC
โดยทั่วไปลูกค้าบัตรเครดิตจะต้องจ่ายเงินที่ใช้จากบัตรและค่าบริการภายใน90วัน ถ้าเลย90วันไปจะถือว่าล่าช้า ซึ่งการบันทึกแบบเดิม KTCจะต้องจัดสรรเงินไว้1%ของหนี้ที่จ่ายล่าช้า และจะเอาเงินที่สำรองไว้ตรงนี้ไปรองรับค่าเสียหายถ้าลูกค้าไม่ยอมจ่ายหนี้ขึ้นมาจริงๆ หมายความว่าถ้ามีคนไม่จ่ายหนี้บัตรเครดิตเกินไป90วัน รวมแล้วเป็นจำนวนเงิน100ล้านบาท KTCจะต้องจัดเงินไว้สำรองเป็นจำนวน1ล้านบาท ซึ่งจะนับเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายทั่วๆไปอย่างอื่น
กฎระเบียบใหม่ก็คือ ถ้าการจ่ายหนี้บัตรเครดิตล่าช้าเกิน90วัน KTCจะต้องจัดสรรเงินไว้100%ของเงินที่ล้าช้าทั้งหมด! ถ้าจะนวนเงินที่ล่าช้าคือ100ล้านบาท KTCจะต้องจัดเงินจัดสรรสำรองสำหรับหนี้ที่คาดว่าจะเสียเป็นจำนวน100ล้านบาทเช่นกัน ซึ่งจะนับเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และนี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทเพิ่มขึ้น และนี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้KTCขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ7ปี เพราะกฏระเบียบที่เปลี่ยนไป!
ทั้งๆที่เป็นไปไม่ได้เลยว่าหนี้ทั้งก้อนจำนวน100ล้านบาทที่คนเขาจ่ายกันล่าช้าจะเป็นหนี้เสียทั้งหมด แต่บริษัทก็ต้องจัดเงินสำรองไว้เท่ากับจำนวนที่จ่ายช้าทั้งหมดเพราะกฎหมายเขาบังคับ เพราะทางรัฐต้องการให้การจัดการเกี่ยวกับหนี้นั้นรัดกุมและปลอดภัยขึ้น โดยเฉพาะในสภาวะที่หนี้เสียมีโอกาสผันผวนได้มากอย่างช่วงวิกฤตเศรษฐกิจใน2ปีที่ผ่านมา
"ถ้าใช้ระเบียบการบันทึกทางบัญชีแบบเดิม ปีที่แล้วKTCจะมีกำไรประมาณ286ล้านบาท ไม่ใช่ขาดทุนหกร้อยกว่าล้านบาทอย่างที่เห็นกันในหนังสือพิมพ์"
วันที่ประกาศผลประกอบการราคาหุ้นKTCตกจาก12.30มาที่10.80 และยังลงไปต่ำสุดเมื่อวันพฤหัสที่9.85 ราคาปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์ราคาอยู่ที่10.00บาท เห็นราคา10บาทล่าสุดก็ตั้งแต่ครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว ตอนที่คนยังสับสนกับทิศทางของเศรษฐกิจโลกกันอยู่ ตอนนี้เศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจน KTCก็ไม่ได้ขาดทุนย่อยยับอย่างที่ว่า(จะพูดว่ากำไรก็ยังได้)
คุณนิวัตต์ จิตตาลานซึ่งเป็นCEOของKTCกล่าวว่าปีนี้KTCจะกลับมามีกำไรอย่างชัดเจน โดยจะมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง4-5%ในสองสามปีข้างหน้า ถึงตอนนั้นคนก็จะเริ่มตั้งคำถามว่า "อ่าว มันไม่ได้กำลังแย่เหรอ แล้วทำไมมันถึงขาดทุนปีที่แล้วละ" นักวิเคราะห์ก็จะเริ่มออกมาอธิบายว่า "อ่อครับ ตอนนั้นมันไม่ได้ขาดทุนจริง มันเปลี่ยนระบบทางบัญชีเฉยๆ" แค่นั้นแหละ หุ้นพุ่งเลย พูดสั้นๆคือ ราคาหุ้นKTCกำลังถูกมากๆ ถ้าราคาเริ่มลงอีกเมื่อไรให้เริ่มทยอยรับเลยครับ
วิเคราะห์ 8 ประการ.... ของ การเป็น SuperStock ตามหลัก ....
ที่มา http://www.thaivi.com/2010/01/110/
1.Durable Competitive Advantage (DCA) หรือการได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน
KTC เป็นผู้เล่นบัตรเครดิต รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มี Market share ราว ๆ 12-13% ต่อปีมา 6 ปี
(2006-2011) แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนของ Marketshare ที่มีมาตลอด 6 ปีทำให้คิดได้ว่า ไม่น่าจะเป็นความได้เปรียบแบบชั่วคราว เรียกได้ว่าเป็นผู้นำมาตลอด 6 ปี
2. Virtuous Circle หรือ “วงจรแห่งความรุ่งเรือง”
3. Super Stock นั้นจะต้องมีศักยภาพสูงมาก นั่นคือ ตลาดของสินค้าหรือบริการจะต้องใหญ่มาก และบริษัทอยู่ในสถานะที่จะ “ยึดครอง” ตลาดนั้นได้
4. การเติบโตของบริษัทที่ผ่านมานั้นน่าประทับใจเป็นเลขสองหลัก คือมากกว่า 10% เกือบทุกปี โดยที่ยอดขายไม่เคยลดลงเลยแม้ในยามที่เศรษฐกิจซบเซาหรือเกิดวิกฤติ เช่นเดียวกัน กำไรของบริษัทก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอัตราใกล้เคียงกับยอดขายหรือดีกว่า
2551-2554 รายได้ของ KTC ไม่ได้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะเลย โดยเฉพาะ ยอดขายของปี 2551-2552 ลดลงด้วย แต่กำไรเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะในปี