หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

KTC ชื่อบริษัท บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

ชื่อบริษัท บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
 http://www.ktc.co.th/
ข้อมูลคร่าว ๆ ย้อนหลังไปปีนึงเพราะเป็น 56-1 ของสิ้นปี 2553

ภาพรวมการประกอบธุรกิจ
ธุรกิจของ KTC คือการให้บริการสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคแบบไม่มีหลักประกันสำหรับผู้บริโภคทั่วประเทศ สมาชิกส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 58 อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อบุคคลเป็นธุรกิจหลัก

โดยธุรกิจของบริษัท สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก คือ

1.ธุรกิจบัตรเครดิต (Credit Card Business)
ในปี 2553 ธุรกิจบัตรเครดิตมีสัดส่วนของลูกหนี้สินเชื่อบัตรเครดิตคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 76 ของจำนวนลูกหนี้สุทธิทั้งหมด ทั้งนี้ธุรกิจบัตรเครดิตของ KTC มีลักษณะเฉพาะที่สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ได้แก่ บัตรเครดิตหลากหลายชนิดที่ได้รับการออกแบบให้ตอบสนองความต้องการของสมาชิกแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกันได้อย่างเหมาะสม ซึ่งสมาชิกจะได้รับสิทธิประโยชน์แตกต่างกันไปในแต่ละร้านค้าและบริการจากพันธมิตรทางการค้าของKTC และนอกจากนี้ยังมีรายการส่งเสริมการใช้บัตรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น รายการสะสมคะแนน “Forever Rewards” ที่ให้ลูกค้าสะสมคะแนนแบบไม่มีวันหมดอายุและสามารถใช้คะแนนแลกซื้อสินค้าประเภทใด ๆ ตามความต้องการ ณ ร้านค้าที่เข้าร่วมรายการกับ KTC

ทั้งนี้ธุรกิจบัตรเครดิต ได้แยกออกเป็น 3 ด้าน คือ ธุรกิจการออกบัตรเครดิต ธุรกิจร้านค้ารับบัตรเครดิต และธุรกิจสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิต

1.1 ธุรกิจการออกบัตรเครดิต (Issuing Business)
ธุรกิจการออกบัตรเครดิต (Issuing Business) เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือบัตรเครดิต เริ่มตั้งแต่การจัดหาลูกค้าบัตรเครดิต การอนุมัติวงเงินให้กับผู้ถือบัตรเครดิต การกำกับดูแลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต การรับชำระหนี้ และการติดตามหนี้ โดยที่ธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตร (Issuing Bank) จะมีรายได้เป็นค่าธรรมเนียมในการทำรายการต่าง ๆ และดอกเบี้ยรับ ทั้งนี้ค่าธรรมเนียมที่ได้รับจะประกอบด้วยค่าธรรมเนียมที่ได้รับในฐานะธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตร เรียกว่า Interchange Fee ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทุกครั้งที่ผู้ถือบัตรนำบัตรของบริษัทไปชำระค่าสินค้าและบริการ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องรูดบัตรของธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตร หรือสถาบันการเงินใด ๆ นอกจากนี้ยังมีการคิดอัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ด้วย เช่น ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน และค่าธรรมเนียมการใช้บริการเบิกเงินสดล่วงหน้า เป็นต้น

1.2 ธุรกิจร้านค้ารับบัตรเครดิต (Acquiring Business)
ธุรกิจร้านค้ารับบัตรเครดิต (Acquiring Business) เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับร้านค้าที่รับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิต โดยบริษัทจะคัดเลือกและติดตั้งเครื่องรูดบัตรให้กับร้านค้า เพื่อกำกับดูแลการอนุมัติการรับชำระค่าสินค้าหรือบริการจากผู้ถือบัตร รวมทั้งควบคุมการกระทำทุจริตของร้านค้า โดยบริษัทจะมีรายได้จากค่าธรรมเนียม ซึ่งคิดตามสัดส่วนของมูลค่าการใช้บัตรผ่านเครื่องรูดบัตรเครดิตทั้งหมด โดยทั่วไปอัตราค่าธรรมเนียมที่คิดจากร้านค้านี้ เรียกว่า “Merchant Discount Rate” ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ได้รับจากร้านค้านี้ส่วนหนึ่งจะต้องแบ่งเพื่อชำระให้กับธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตรอื่น ๆ ที่มาใช้บริการเครื่องรูดบัตรเครดิตของบริษัท

1.3 ธุรกิจสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิต (Circle Loan Business)
ธุรกิจสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิต เป็นธุรกิจการให้สินเชื่อแก่ผู้ถือบัตรเครดิต ซึ่งเป็นสินเชื่อที่รับโอนมาจากธนาคารกรุงไทย โดยบริษัทจะอนุมัติวงเงินสินเชื่อให้แก่ผู้ถือบัตรเพิ่มเติมจากวงเงินการใช้บัตรเครดิตปกติ (ลักษณะคล้ายกับวงเงินเบิกเกินบัญชีของธนาคาร) ทั้งนี้ บริษัทไม่มีนโยบายที่จะขยายการให้บริการสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิตตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา ดังนั้น การดำเนินการในปัจจุบันจะเป็นเพียงการให้บริการกับผู้ถือบัตรที่ยังคงมีบัญชีอยู่และรับชำระสินเชื่อดังกล่าวเท่านั้น โดยยอดลูกหนี้ธนวัฏบัตรเครดิตสุทธิลดลงเหลือเพียง 307 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 และ KTC จะมีรายได้รับจากรายได้ดอกเบี้ยตามมูลค่าของการใช้วงเงินของลูกค้าธนวัฏบัตรเครดิตนั้น ๆ



2 ธุรกิจสินเชื่อบุคคล (Personal Loan Business)
ธุรกิจสินเชื่อบุคคล (KTC CASH) มีสัดส่วนของลูกหนี้คิดเป็นร้อยละ 24 ของลูกหนี้สุทธิทั้งหมด โดยสินเชื่อบุคคลนั้นจะแบ่งออกเป็น 2รูปแบบ
คือ KTC Cash และ KTC Cash Revolve เป็นการบริการให้สินเชื่อสำหรับบุคคลโดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และไม่จำเป็นต้องเป็นลูกค้าบัตรเครดิตของบริษัทมาก่อน ซึ่งได้รับการออกแบบมาสำหรับบุคคลที่มีงานประจำและมีรายได้ต่อเดือนที่แน่นอน KTC Cash จะอยู่ในรูปแบบ Fixed Installment ผู้เปิดบัญชีต้องจ่ายคืนทุกเดือนเป็นจำนวนเงินที่เท่ากันจนกว่าจะชำระหนี้หมด โดยไม่สามารถกลับไปใช้วงเงินที่ได้อีก ซึ่งผู้กู้สามารถเลือกชำระแบบกำหนดระยะเวลา 12- 60 เดือน และสามารถกำหนดวันผ่อนชำระได้ด้วยตนเอง เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและรายรับของตัวผู้กู้ ในขณะที่ KTC Cash Revolve มีคุณสมบัติเด่นคือ เป็นสินเชื่อพร้อมใช้ที่เมื่ออนุมัติจะโอนเงินเข้าบัญชีก้อนแรก และมีวงเงินหมุนเวียนเพื่อการเบิกถอนได้ทุกเมื่อที่ต้องการจากเครื่องเอทีเอ็มทั่วประเทศตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งตัวผู้กู้จะได้รับบัตรกดเงินสดพร้อมวงเงินที่อนุมัติ โดยผู้กู้สามารถกลับไปใช้วงเงินเดิมได้อีก เมื่อทำการชำระคืนKTC จะคัดเลือกลูกค้าที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นโดยกำหนดเป็นผู้มีรายได้ประจำที่มีรายได้ขั้นต่ำจำนวนแตกต่างกันตามประเภทของสินเชื่อบุคคล ซึ่งจะกำหนดวงเงิน 1-5 เท่าของรายได้ และมีอัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกขึ้นอยู่กับการจัดระดับของ Credit Scoring ทั้งนี้

กำหนดเพดานของอัตราดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงินสูงสุดไว้ไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี
KTC จะรับรู้รายได้ของสินเชื่อบุคคลในรูปของรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถาม ค่าอากรแสตมป์ที่คิดเป็นร้อยละของวงเงินกู้ยืม เป็นต้น
นอกจากธุรกิจหลักทั้ง 2 ประเภทที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว KTC ยังมีธุรกิจสินเชื่อเจ้าของกิจการ (KTC Million) ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน สำหรับเจ้าของกิจการที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการ แต่ KTC มีนโยบายที่จะไม่เพิ่มพอร์ตลูกหนี้ของธุรกิจนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2549 เป็นต้นมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ดังนั้น การดำเนินการในปัจจุบันเป็นเพียงการให้บริการแก่ลูกหนี้รายเดิมที่ยังคงมีบัญชีค้างชำระหนี้กับบริษัทอยู่ โดย ณ สิ้นปี 2553 KTC เหลือสัดส่วนของลูกหนี้สินเชื่อเจ้าของกิจการอยู่เพียง 119 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.3 ของลูกหนี้สุทธิทั้งหมดงบการเงิน

งบการเงิน2554

งบการเงิน 2551-2553




โครงสร้างรายได้
โครงสร้างรายได้ของ KTC มาจากรายได้จากดอกเบี้ยรับและค่าธรรมเนียมของสองธุรกิจหลักของบริษัทซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล ซึ่งในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมนั้นได้บันทึกรวมรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงินโดยคำนวณจากยอดลูกหนี้ค้างชำระไว้ด้วย ซึ่งเป็นที่สังเกตว่าภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บริษัทที่ให้บริการสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคที่มิใช่ธนาคารสามารถคิดอัตราดอกเบี้ยได้สูงสุดร้อยละ15 ในขณะที่ภายใต้กฎระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย บริษัทสามารถคิดอัตราดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมได้ถึงร้อยละ 20 สำหรับบัตรเครดิต และร้อยละ 28 สำหรับสินเชื่อบุคคล ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นระหว่าง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย จะบันทึกบัญชีเป็นรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน นอกจากนี้ KTC ยังมีรายได้จากหนี้สูญได้รับคืน ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2545-2550 บริษัทมีรายได้จากการรับจ้างบริหารธุรกิจบัตร Visa Electron ให้กับธนาคารกรุงไทย และได้ยกเลิกการให้บริการดังกล่าวในปี 2550 ต่อมาในปลายปี 2552 บริษัทได้ให้บริการบริหารธุรกิจบัตร Fleet Card ให้กับธนาคารกรุงไทย โดยมีระยะเวลาให้บริการ 6 เดือน นับจากวันที่ 1 ธันวาคม 2552 เป็นต้นไป และหลังจากที่ครบกำหนดสัญญาแล้ว ได้มีการว่าจ้างบริหารต่ออีก 3 เดือน รายละเอียดของโครงสร้างรายได้ตามงบการเงินเฉพาะของบริษัท 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2551- ปี 2553) ดังตาราง
 
 
อัตราการเปลี่ยนแปลงของจำนวนบัตร 2551-2553


ปัจจัยความเสี่ยง
1.ปัจจัยความเสี่ยงในการให้สินเชื่อ
ความเสี่ยงจากกระบวนการจัดอันดับเครดิตการให้สินเชื่อ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย


บริษัทตระหนักถึงความเสี่ยงอันอาจเกิดจากกระบวนการจัดอันดับเครดิตเพื่อใช้ในการพิจารณาสินเชื่อให้กับลูกค้าแต่ละรายเป็นอย่างมาก จึงได้กำหนดมาตรฐานการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อทุกประเภท สำหรับการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลนั้น บริษัทจะพิจารณาจากการใช้ Statistical Scoring Model เป็นแนวทางประกอบการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์สินเชื่อ นอกจากนั้น ในขั้นตอนการอนุมัตินั้นจะต้องผ่านการพิจารณาตรวจสอบจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลากหลายหน่วยงาน เพื่อช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการวิเคราะห์และเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปอย่างถูกต้อง

ความเสี่ยงจากการทุจริตบัตรเครดิต

บริษัทได้ให้ความสำคัญกับความเสียหายจากการทุจริตบัตรเครดิต โดยมีการพัฒนาและลงทุนเพื่อเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้บัตรเครดิตของบริษัทในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งได้มีการพัฒนาในตัวของบัตรเครดิตและเครื่องรูดบัตรเครดิตจากเดิมที่ใช้แถบแม่เหล็ก (Electronic Data Capture – EDC) ไปสู่ชิปเทคโนโลยี (Chip Card and EMV Technology) รวมทั้งยังได้มีการลงทุนนำระบบ Online Fraud Detection ใหม่ ที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้ นอกจากนี้บริษัท ยังได้มีการนำระบบการเข้ารหัส (3D-Secure) สำหรับการทำธุรกรรมทาง E-Commerce ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับผู้ถือบัตร และร้านค้าสมาชิก โดยระบบดังกล่าวเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศ โดยในปี 2553 บริษัทมีมูลค่าความเสียหายอันเกิดจากการทุจริตบัตรเครดิตเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 8.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ˜ 0.02 ของสินเชื่อรวม ลดลงร้อยละ ˜25 จาก ปี 2552 ที่จำนวน ˜11.9 ล้านบาท

ความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระหนี้

ด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้ธุรกิจสินเชื่อมีความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระหนี้คืนสูงขึ้น แต่บริษัทมีนโยบายให้บริการสินเชื่อเพื่อผู้บริโภครายย่อยแก่ลูกค้าที่มีความสามารถในการจ่ายชำระคืน โดยลูกค้าแต่ละรายจะได้รับวงเงินสินเชื่อที่กำหนดตามความเสี่ยงของแต่ละบุคคล จึงทำให้ความเสี่ยงอันอาจเกิดจากการไม่ได้รับชำระหนี้จากลูกค้าแต่ละรายมีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้ง บริษัทได้กระจายสินเชื่อดังกล่าวไปทั่วทุกอุตสาหกรรม ภูมิภาค และกลุ่มลูกค้า มิได้เน้นเฉพาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทำให้ความเสี่ยงอันอาจเกิดจากการไม่ได้รับชำระหนี้จากลูกค้าอยู่ในระดับต่ำ

2.ป้จจัยความเสี่ยงจากภาวะตลาด



บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงอันเกิดจากการเพิ่มสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ย เป็นผลให้บริษัทมีต้นทุนเงินทุนที่สูงขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังผลการดำเนินงานของบริษัท บริษัทตระหนักดีถึงผลกระทบดังกล่าว ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยตลาดต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัท และบริหารความเสี่ยงของบริษัทให้อยู่ภายในระดับที่ยอมรับได้ บริษัทได้จัดหาเงินกู้ยืมทั้งประเภทระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งประเภทอัตราดอกเบี้ยคงที่และอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยมีการปรับสัดส่วนเงินกู้ยืมแต่ละประเภทให้สอดคล้องกับแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต และสถานะของโครงสร้างสินทรัพย์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม การจัดสัดส่วนดังกล่าวต้องคำนึงถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องร่วมด้วยเสมอ
 
ความเสี่ยงจากความไม่เพียงพอของเงินทุนหมุนเวียน


บริษัทมีนโยบายในการบริหารเงินทุนให้เพียงพอต่อการขยายตัวของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัทตระหนักถึงความเสี่ยงอันอาจเกิดจากการมีเงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพอ เนื่องจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจไทย รวมถึงสภาวะความผันผวนของตลาดการเงินไม่ว่าจะเป็นตลาดตราสารหนี้หรือตลาดทุน ซึ่งอาจจะมีผลต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทในอนาคต ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องทางการเงินดังกล่าว บริษัทจึงมีมาตรการจัดการสภาพคล่องโดยใช้แบบจำลองในการประเมินสภาพคล่องของบริษัททั้งในระยะสั้นและระยะยาว และใช้ในการจัดสรรเงินทุนเพื่อให้เหมาะสมกับอายุของลูกหนี้ของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทได้รับการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อจากธนาคารกรุงไทย เป็นจำนวนทั้งสิ้น 18,000 ล้านบาท และมีวงเงินเบิกเกินบัญชี (Overdraft) อีกจำนวน 30 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการระดมทุนจากตลาดทุน โดยการออกหุ้นกู้ การออกตั๋วแลกเงิน และแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินหลายแห่ง โดยบริษัทไม่ได้พึ่งพิงสถาบันการเงินแห่งใดแห่งหนึ่งโดยเฉพาะ ณ 31 ธันวาคม 2553 บริษัทมีวงเงินคงเหลือ กับสถาบันการเงินต่าง ๆ จำนวน 21,900 ล้านบาท
 
3.ปัจจัยความเสี่ยงจากการดำเนินงานของบริษัท
ความเสี่ยงอันเกิดจากการสูญเสียข้อมูล


ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทนั้นจำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูลขนาดใหญ่เกี่ยวกับลูกค้าและรายการธุรกรรมต่าง ๆ ทำให้มีความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ การสูญเสียข้อมูลอันเกิดจากอุบัติเหตุ หรือมีผู้จงใจทำลายข้อมูล หรือความผิดพลาดที่เกิดจากระบบ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงอันเกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลที่สำคัญ บริษัทได้กำหนดมาตรการที่รัดกุมในการรักษาข้อมูล และให้อำนาจเฉพาะบุคคลที่ได้รับอนุญาตในการเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญของลูกค้า สำหรับความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการที่มีผู้จงใจทำลายข้อมูลนั้น บริษัทได้กำหนดให้บริษัทที่ดูแลระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท (FIS (เดิมชื่อ Certegy) และ KCS) จัดทำฐานข้อมูลสำรอง อีกทั้งจะต้องมีกระบวนการนำข้อมูลกลับคืนมาหากข้อมูลถูกทำลาย

ความเสี่ยงอันเกิดจากการควบคุมของภาครัฐ

กระทรวงการคลังได้ออกประกาศอนุญาตให้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยอนุญาตให้ประกอบธุรกิจภายใต้ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 และมอบอำนาจให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ควบคุมดูแลโดยได้ออกประกาศเกี่ยวกับข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจดังกล่าว รวมทั้งมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่สามารถเรียกเก็บจากลูกค้า คุณสมบัติของผู้ถือบัตรเครดิตและลูกค้าสินเชื่อบุคคล ซึ่งบริษัทได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับแล้ว รวมถึงได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็คทรอนิกส์ ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็คทรอนิกส์ พ.ศ. 2551 ซึ่งคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็คทรอนิกส์ และธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลได้ออกประกาศเกี่ยวกับข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทได้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศ กฎระเบียบ ข้อบังคับที่ได้ออกมาบังคับใช้แล้วทุกประการ และหากมีการออกกฏหมาย หรือกฎระเบียบ ข้อบังคับใหม่ ๆ ในอนาคต บริษัทก็จะถือปฎิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับนั้น ๆ อย่างเคร่งครัด อนึ่ง หากการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับต่าง ๆ ไม่มีความยืดหยุ่นและไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ในขณะนั้น อาจจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของบริษัทได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ออกกฎระเบียบได้มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบให้สอดคล้องกับภาวะตลาดในขณะนั้น ๆ ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าความเสี่ยงนี้จะถูกบริหารได้อย่างเหมาะสม

ความเสี่ยงอันเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคาร)

ธนาคารซึ่งมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ได้ลงนามในสัญญาการให้บริการด้านงานสนับสนุน (Back Office) กับบริษัทเพื่อให้ความสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทเป็นระยะเวลา 15 ปี โดยบริษัทสามารถใช้เครือข่ายสาขาของธนาคารในการจัดหาสมาชิกและการรับชำระเงินและร่วมใช้ระบบงาน Computer System บางส่วนของธนาคารได้อีกด้วย โดยบริษัทจะจ่ายค่าบริการด้านงานสนับสนุนที่กำหนดตามอัตราตลาดให้กับธนาคาร ทั้งนี้ บริษัทเห็นว่าความเสี่ยงอันอาจเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของธนาคารนั้นมีน้อยมาก เนื่องจากการเข้าทำสัญญาดังกล่าวได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการของธนาคาร นอกจากนี้ในส่วนของการจัดหาสมาชิกนั้น บริษัทมีช่องทางการจัดหาสมาชิกที่หลากหลาย อีกทั้ง ยังได้รับความสนับสนุนจากผู้ประกอบการราย อื่นๆ ในการให้บริการเพื่อเป็นช่องทางการชำระเงินสำหรับลูกค้าของบริษัท ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าอีกด้วย ทั้งนี้ หากธนาคารไม่ปฎิบัติตามสัญญาแล้วนั้น บริษัทสามารถจัดหาผู้ให้บริการรายใหม่ ๆ เพื่อรองรับการดำเนินงานได้ สำหรับในส่วนของระบบงานข้อมูลสารสนเทศนั้น บริษัทร่วมใช้ระบบงานข้อมูลสารสนเทศของธนาคารน้อยมาก อีกทั้งบริษัทยังได้ว่าจ้าง FIS (เดิมชื่อ Certegy) ซึ่งเป็นบริษัทภายนอกมาดูแลระบบสารสนเทศของบริษัทโดยเฉพาะ ดังนั้น การไม่ปฎิบัติตามสัญญาของธนาคารซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นมีน้อยมาก จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของบริษัท


ความเสี่ยงจากสภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นอันเกิดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ประกอบการ

บริษัทได้ตระหนักถึงสภาวะการแข่งขันที่มีความรุนแรงมากขึ้น โดยอาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคา การแย่งชิงลูกค้า หรือการรับโอนหนี้ของลูกค้า ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานรวมทั้งผลประกอบการของบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความชำนาญในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน รวมทั้ง มีการลงทุน พัฒนาและคิดค้นผลิตภัณฑ์และการบริการรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการเข้ามาดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ นั้นจะต้องใช้เวลาในการสำรวจตลาดและวิธีการดำเนินธุรกิจให้เหมาะสมกับธุรกิจที่มีรูปแบบเฉพาะประเภทนี้ ทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบเหนือผู้ประกอบการรายอื่น ๆ เป็นอย่างมาก ดังนั้น บริษัทเห็นว่าการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นนั้นไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของบริษัททั้งในระยะสั้นและระยะยาว
 
Earning Per Share(EPS) ย้อนหลัง
KTC เพิ่มทุน 773.5 ล้านหุ้น ขายผู้ถือหุ้นเดิม 1:3 ที่ราคา 10 บ./หุ้น

บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC)เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อ 18 มีนาคม 2552 ให้ลดทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จากจำนวน 2,580,162,000 บาทเป็นจำนวน 2,578,334,070 บาท ด้วยการยกเลิกหุ้นสามัญที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายจำนวน 182,793 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นหุ้นที่เหลือจากการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกให้แก่กรรมการและพนักงาน


จากนั้นให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯจากจำนวน 2,578,334,070 บาท เป็นจำนวน 10,313,336,280 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่ จำนวน 773,500,221 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ทั้งนี้ เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในราคาหุ้นละ 10 บาท โดยมีอัตราส่วนการจองซื้อเท่ากับ 1 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้นสามัญใหม่

และภายใต้สถานการณ์ทางการเงินในปัจจุบันของตลาดและประกอบกับแผนการเพิ่มทุนของบริษัทฯ เพื่อเสริมสร้างสภาพคล่อง คณะกรรมการของบริษัทฯ มีความเห็นว่าหากที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติสนับสนุนและอนุมัติการเพิ่มทุนของบริษัทฯ เป็นการสมควรที่บริษัทฯ จะทำการจ่ายเงินปันผลจากผลกำไรของการดำเนินงานในปี 2551 ที่ผ่านมาให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 1 บาท ต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น

สำหรับวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล (Record Date) คือวันที่ 1 เมษายน 2552 และให้รวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นตามมาตรา 225 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 2 เมษายน 2552 และอนุมัติให้จัดสรรทุนสำรองตามกฎหมายเป็นจำนวนเงิน 26,100,000 บาท ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลจะดำเนินการภายในวันที่ 29 พฤษภาคม 2552

จากรูป EPS ย้อนหลัง  ปี 2552 มีการขาดทุนจาก ...
เรื่องราวที่ไม่มีในบทวิเคราะห์ของ KTC  ที่มา http://settalk.blogspot.com/2010/03/ktc.html

KTC ขาดทุนจริงหรือ?
วันพุธที่3 มีนาคม 2553 ราคาหุ้นของบริษัทบัตรกรุงไทย(KTC) ร่วงลงมา12%ภายในวันเดียว หลังจากประกาศผลประกอบการออกมาว่าขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ7ปี
KTC บริษัทเครดิตการ์ดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขาดทุนในปี52เป็นจำนวน394.8ล้านบาท หลังจากกำไรในปีก่อนหน้าเป็นจำนวนถึง616.74ล้านบาท เกิดอะไรขึ้นกับบริษัทในปีที่แล้ว อะไรทำให้KTCขาดทุนทั้งๆที่รายได้ก็เพิ่มขึ้นเกือบ20%?
เฉลยให้ก็ได้ครับว่าKTCไม่ได้ขาดทุนเพราะบริษัทกำลังจะแย่ลง แต่ขาดทุนเพราะเปลี่ยนระบบการบันทึกบัญชี เปลี่ยนไปยังไง? ไปดู
ระบบบัญชีที่เปลี่ยนไปของKTC

โดยทั่วไปลูกค้าบัตรเครดิตจะต้องจ่ายเงินที่ใช้จากบัตรและค่าบริการภายใน90วัน ถ้าเลย90วันไปจะถือว่าล่าช้า ซึ่งการบันทึกแบบเดิม KTCจะต้องจัดสรรเงินไว้1%ของหนี้ที่จ่ายล่าช้า และจะเอาเงินที่สำรองไว้ตรงนี้ไปรองรับค่าเสียหายถ้าลูกค้าไม่ยอมจ่ายหนี้ขึ้นมาจริงๆ หมายความว่าถ้ามีคนไม่จ่ายหนี้บัตรเครดิตเกินไป90วัน รวมแล้วเป็นจำนวนเงิน100ล้านบาท KTCจะต้องจัดเงินไว้สำรองเป็นจำนวน1ล้านบาท ซึ่งจะนับเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายทั่วๆไปอย่างอื่น

กฎระเบียบใหม่ก็คือ ถ้าการจ่ายหนี้บัตรเครดิตล่าช้าเกิน90วัน KTCจะต้องจัดสรรเงินไว้100%ของเงินที่ล้าช้าทั้งหมด! ถ้าจะนวนเงินที่ล่าช้าคือ100ล้านบาท KTCจะต้องจัดเงินจัดสรรสำรองสำหรับหนี้ที่คาดว่าจะเสียเป็นจำนวน100ล้านบาทเช่นกัน ซึ่งจะนับเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และนี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทเพิ่มขึ้น และนี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้KTCขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ7ปี เพราะกฏระเบียบที่เปลี่ยนไป!
ทั้งๆที่เป็นไปไม่ได้เลยว่าหนี้ทั้งก้อนจำนวน100ล้านบาทที่คนเขาจ่ายกันล่าช้าจะเป็นหนี้เสียทั้งหมด แต่บริษัทก็ต้องจัดเงินสำรองไว้เท่ากับจำนวนที่จ่ายช้าทั้งหมดเพราะกฎหมายเขาบังคับ เพราะทางรัฐต้องการให้การจัดการเกี่ยวกับหนี้นั้นรัดกุมและปลอดภัยขึ้น โดยเฉพาะในสภาวะที่หนี้เสียมีโอกาสผันผวนได้มากอย่างช่วงวิกฤตเศรษฐกิจใน2ปีที่ผ่านมา
"ถ้าใช้ระเบียบการบันทึกทางบัญชีแบบเดิม ปีที่แล้วKTCจะมีกำไรประมาณ286ล้านบาท ไม่ใช่ขาดทุนหกร้อยกว่าล้านบาทอย่างที่เห็นกันในหนังสือพิมพ์"
วันที่ประกาศผลประกอบการราคาหุ้นKTCตกจาก12.30มาที่10.80 และยังลงไปต่ำสุดเมื่อวันพฤหัสที่9.85 ราคาปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์ราคาอยู่ที่10.00บาท เห็นราคา10บาทล่าสุดก็ตั้งแต่ครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว ตอนที่คนยังสับสนกับทิศทางของเศรษฐกิจโลกกันอยู่ ตอนนี้เศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจน KTCก็ไม่ได้ขาดทุนย่อยยับอย่างที่ว่า(จะพูดว่ากำไรก็ยังได้)
คุณนิวัตต์ จิตตาลานซึ่งเป็นCEOของKTCกล่าวว่าปีนี้KTCจะกลับมามีกำไรอย่างชัดเจน โดยจะมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง4-5%ในสองสามปีข้างหน้า ถึงตอนนั้นคนก็จะเริ่มตั้งคำถามว่า "อ่าว มันไม่ได้กำลังแย่เหรอ แล้วทำไมมันถึงขาดทุนปีที่แล้วละ" นักวิเคราะห์ก็จะเริ่มออกมาอธิบายว่า "อ่อครับ ตอนนั้นมันไม่ได้ขาดทุนจริง มันเปลี่ยนระบบทางบัญชีเฉยๆ" แค่นั้นแหละ หุ้นพุ่งเลย พูดสั้นๆคือ ราคาหุ้นKTCกำลังถูกมากๆ ถ้าราคาเริ่มลงอีกเมื่อไรให้เริ่มทยอยรับเลยครับ

วิเคราะห์ 8 ประการ.... ของ การเป็น SuperStock ตามหลัก ....
ที่มา http://www.thaivi.com/2010/01/110/

1.Durable Competitive Advantage (DCA) หรือการได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน
KTC เป็นผู้เล่นบัตรเครดิต รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มี Market share ราว ๆ 12-13% ต่อปีมา 6 ปี
(2006-2011) แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนของ Marketshare ที่มีมาตลอด 6 ปีทำให้คิดได้ว่า ไม่น่าจะเป็นความได้เปรียบแบบชั่วคราว เรียกได้ว่าเป็นผู้นำมาตลอด 6 ปี
2. Virtuous Circle  หรือ “วงจรแห่งความรุ่งเรือง” 

3. Super Stock นั้นจะต้องมีศักยภาพสูงมาก  นั่นคือ  ตลาดของสินค้าหรือบริการจะต้องใหญ่มาก  และบริษัทอยู่ในสถานะที่จะ “ยึดครอง” ตลาดนั้นได้

4. การเติบโตของบริษัทที่ผ่านมานั้นน่าประทับใจเป็นเลขสองหลัก  คือมากกว่า 10% เกือบทุกปี โดยที่ยอดขายไม่เคยลดลงเลยแม้ในยามที่เศรษฐกิจซบเซาหรือเกิดวิกฤติ เช่นเดียวกัน  กำไรของบริษัทก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ในอัตราใกล้เคียงกับยอดขายหรือดีกว่า

2551-2554 รายได้ของ KTC ไม่ได้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะเลย โดยเฉพาะ ยอดขายของปี 2551-2552 ลดลงด้วย แต่กำไรเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะในปี

BAFSบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

ตลาด SET http://www.bafsthai.com/
กลุ่มอุตสาหกรรม   ทรัพยากร
หมวดธุรกิจ    พลังงานและสาธารณูปโภค

วันที่เข้าซื้อขายวันแรก 04 เม.ย. 2545
รายละเอียดเกี่ยวกับทุน
ราคาพาร์ 1.00 บาท
หุ้นสามัญ

ทุนจดทะเบียน 509,998,044.00 บาท
ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 509,997,325.00 บาท
หุ้นบุริมสิทธิ
ทุนจดทะเบียน -
ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว -

รายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนหุ้น
หุ้นสามัญ
จำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท. 509,997,325 หุ้น
จำนวนหุ้นชำระแล้ว 509,997,325 หุ้น สิทธิออกเสียง 1 : 1
จำนวนหุ้นซื้อคืน -
จำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง หัก หุ้นซื้อคืน
ณ วันที่ 24 ม.ค. 2555 509,997,325 หุ้น
ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2554 509,997,325 หุ้น
หุ้นบุริมสิทธิ
จำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท. -
จำนวนหุ้นซื้อคืน -
จำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง หัก หุ้นซื้อคืน
ณ วันที่ 24 ม.ค. 2555 -
ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2554 -

นโยบายเงินปันผล
ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล สำรองตามกฎหมาย และสำรองอื่นๆในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 โดยคำนวณจากกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะของบริษัทฯ (โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติม)




ผู้ถือหุ้นใหญ่



ลักษณะการประกอบธุรกิจ
ภาพรวมการประกอบธุรกิจของบริษัท บริษัทย่อย และบริษัทร่วม
บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 509.998 ล้านบาท และเรียกชำระแล้ว 509.997 ล้านบาท โดยบริษัทก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2526 ด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท โดยคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินการตามความเห็นและมติสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในการจัดตั้งโครงการเติมน้ำมันอากาศยาน ปัจจุบัน บริษัทเป็นบริษัทเดียวที่ได้รับสิทธิจากรัฐบาลไทยในการดำเนินธุรกิจจัดเก็บ และให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแก่อากาศยานทุกประเภทและทุกเที่ยวบิน ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยบริษัทให้บริการเชื้อเพลิงการบินอย่างครบวงจรทั้ง 3 ระบบ คือ ระบบคลังน้ำมันอากาศยานระบบส่งน้ำมันอากาศยานผ่านท่อฯ และระบบเติมน้ำมันอากาศยาน โดยมีลูกค้าหรือผู้ว่าจ้างเติมน้ำมัน คือ บริษัทผู้ค้าน้ำมันต่างๆ ที่ขายน้ำมันอากาศยานให้แก่สายการบิน โดยบริษัทมีการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน 2 ประเภท คือ น้ำมันอากาศยานสำหรับเครื่องบินไอพ่น (JET A-1) และน้ำมันอากาศยานสำหรับเครื่องบินลูกสูบ (AVGAS)

เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2549 ได้มีการย้ายท่าอากาศยานนานาชาติของไทยจากท่าอากาศยานดอนเมืองไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยบริษัทและบริษัทย่อยได้ให้บริการเชื้อเพลิงการบินอย่างครบวงจรทั้ง 3 ระบบเช่นเดียวกับที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติให้เปิดใช้ท่าอากาศยานดอนเมืองควบคู่กับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในวันที่ 25 มีนาคม 2550 เนื่องจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีปัญหารอยแตกร้าวของรันเวย์และแท็กซี่ เวย์ อีกทั้งเป็นการช่วยลดความแออัดของการใช้บริการอากาศยานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเป็นการให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศบางส่วนที่ไม่มีการต่อเครื่อง และการให้บริการของสายการบินต้นทุนต่ำ จากนั้นในวันที่ 29 มีนาคม 2552 บมจ.การบินไทย ได้ย้ายเที่ยวบินภายในประเทศจากท่าอากาศยานดอนเมืองกลับมารวมไว้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพียงแห่งเดียว ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามนโยบายสนามบินเดียวของภาครัฐ

นอกจากนี้ บริษัทได้ให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานสำหรับเครื่องบินไอพ่นให้แก่สายการบินบางกอกแอร์เวย์ ณ ท่าอากาศยานภูมิภาค 2 แห่ง คือ ท่าอากาศยานสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และท่าอากาศยานสุโขทัย โดยบริษัทได้รับสัญญาอนุญาตให้ดำเนินการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานจากบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด โดยระยะเวลาการให้ดำเนินการ 12 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2543 ถึง 2554 และเมื่อครบอายุสัญญาแล้ว อาจทำการขยายระยะเวลาของสัญญาต่อไปได้อีกครั้งละ 5 ปี

บริษัทมีการประกอบธุรกิจผ่านบริษัทย่อย และบริษัทที่เกี่ยวข้องดังนี้
1. บริษัท ไทยเชื้อเพลิงการบิน จำกัด
ถือเป็นบริษัทย่อย ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2539 โดย ณ 31 ธันวาคม 2553 มีทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว 530 ล้านบาท และปัจจุบันโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ประกอบด้วย บริษัทซึ่งถือหุ้นในอัตราร้อยละ 90 และ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ซึ่งถือหุ้นในอัตราร้อยละ 10

บริษัท ไทยเชื้อเพลิงการบิน จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการเชื้อเพลิงอากาศยานเช่นเดียวกับบริษัท และเป็นผู้ได้รับสัมปทานในการดำเนินการให้บริการระบบส่งน้ำมันอากาศยานผ่านท่อฯ ในบริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจาก ทอท. เป็นระยะเวลา 30 ปี โดยอายุสัมปทานจะเริ่มนับตั้งแต่วันแรกที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเริ่มเปิดให้บริการ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนการได้รับสัมปทานในการดำเนินการให้บริการระบบส่งน้ำมันอากาศยานผ่านท่อฯ ณ ท่าอากาศยานสุวรณภูมิ ในสัญญาผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไทยเชื้อเพลิงการบิน จำกัด จึงได้กำหนดให้มีการโอนหุ้นให้ ทอท. ในอัตราร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ภายใน 15 วันนับแต่วันที่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท โดย ทอท. ไม่ต้องชำระค่าหุ้นใดๆ ทั้งสิ้น และสิทธิในหุ้นดังกล่าวถือเป็นกรรมสิทธิ์ที่สมบูรณ์ของ ทอท. และการชำระมูลค่าหุ้นในครั้งต่อไป รวมทั้งการเพิ่มทุนใดๆ ในส่วนของ ทอท. บริษัทจะต้องรับภาระชำระเงินให้ในนามของ ทอท. โดยหุ้นและค่าหุ้นที่ชำระแล้วในส่วนดังกล่าวจะตกเป็นสิทธิของ ทอท.

สำหรับผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ ทอท. ในการอนุญาตให้บริษัท ไทยเชื้อเพลิงการบิน จำกัด เข้าดำเนินการให้บริการระบบส่งน้ำมันอากาศยานผ่านท่อฯ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คือ อัตราร้อยละ 2 ของยอดรายได้ของบริษัทก่อนหักค่าใช้จ่ายใดๆ นับตั้งแต่ปีที่เริ่มเปิดให้บริการ โดยคำนวณเป็นรายปี แต่ทั้งนี้ ผลประโยชน์ตอบแทนโดยรวมจะต้องไม่ต่ำกว่าที่ ทอท. ได้รับจากบริษัทเพื่อเป็นผลประโยชน์ตอบแทนจากการที่ให้เช่าระบบท่อส่งเชื้อเพลิงอากาศยานเพื่อดำเนินการให้บริการเติมเชื้อเพลิงอากาศยานภายในท่าอากาศยานดอนเมือง ทั้งนี้ การคำนวณเงินผลประโยชน์ตอบแทนให้เป็นไปตามหลักการบัญชีที่เป็นมาตรฐานสากล และเป็นหลักการที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายยอมรับ โดยผลตอบแทนดังกล่าวนี้เป็นรูปแบบผลตอบแทนโดยปกติที่เสนอให้แก่ ทอท. ในฐานะเป็นคู่สัญญาผู้ให้อนุญาต โดยมิใช่ในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัท ไทยเชื้อเพลิงการบิน จำกัด

2.บริษัท เจพี-วัน แอสเซ็ท จำกัด
ถือเป็นบริษัทย่อย ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2547 โดย ณ 31 ธันวาคม 2553 มีทุนจดทะเบียน และทุนชำระแล้วจำนวน 600 ล้านบาท และปัจจุบันโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ประกอบด้วย บริษัทซึ่งถือหุ้นในอัตรา ร้อยละ 92.5 และ บมจ.กรุงเทพประกันภัย ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 7.5 โดยการลงทุนในโครงการนี้ของบริษัท เป็นการขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจ ให้ครอบคลุมถึงการขนส่งน้ำมันอากาศยานมายังคลังน้ำมันของบริษัทที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นการขยายฐานรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิม อีกทั้งมีผลเป็นการส่งเสริมความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ทางการตลาดในลักษณะการให้บริการครบวงจร (One Stop Service) ซึ่งคู่แข่งไม่มีความพร้อมที่จะทำได้เช่นบริษัท
บริษัท เจพี-วัน แอสเซ็ท จำกัด ประกอบธุรกิจขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางระบบท่อส่งน้ำมันใต้พื้นดินจากมักกะสันไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยการวางท่อฝังใต้ดินขนานกับทางรถไฟเข้าสู่คลังน้ำมันของบริษัทที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

3.บริษัท บริการน้ำมันอากาศยาน จำกัด
ถือเป็นบริษัทย่อย ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2529 โดย ณ 31 ธันวาคม 2553 มีทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วจำนวน 120,000 บาท และโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ประกอบด้วย บริษัทซึ่งถือหุ้นในอัตราร้อยละ 83.33 และบมจ.ปตท. ซึ่งถือหุ้นในอัตราร้อยละ 16.67

บริษัท บริการน้ำมันอากาศยาน จำกัด ประกอบธุรกิจเติมน้ำมันให้แก่อากาศยาน (Intoplane) ซึ่งเป็นการรับเหมาเฉพาะแรงงาน โดยเริ่มแรกจะเป็นการรับจ้างบริษัทเติมน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่สายการบิน ต่อมา
ภายหลังบริษัทมีนโยบายดำเนินงานด้านเติมน้ำมันเอง บริษัท บริการน้ำมันอากาศยาน จำกัด จึงไม่มีการประกอบกิจการใดๆ ตั้งแต่ปี 2536 จนถึงเดือนกันยายน 2544 ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2544 ได้เริ่มดำเนินการรับจ้างบริษัท ให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานสมุย และท่าอากาศยานสุโขทัย

4.บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด
เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2534 ตามมติคณะรัฐมนตรีตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อประกอบกิจการด้านการเก็บรักษา และดำเนินการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางระบบท่อส่งน้ำมันใต้พื้นดินซึ่งสร้างขนานกับทางรถไฟ มีระยะทางรวม 69 กิโลเมตรจากโรงกลั่นน้ำมันบางจากผ่าน คลังน้ำมันเชลล์ และเชฟรอนที่ช่องนนทรี ไปยังคลังน้ำมันของบริษัทที่ท่าอากาศยานดอนเมือง และไปสิ้นสุดที่คลังน้ำมันของบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด ที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นศูนย์รวมการรับและจ่ายน้ำมันเพื่อกระจายสู่ภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย โดยวัตถุประสงค์หลักในการจัดตั้งบริษัท คือ เพื่อลดผลกระทบจากมลภาวะที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและการจราจรติดขัดในเขตกรุงเทพมหานคร อันเนื่องมาจาการขนส่งน้ำมันจากการขนส่งอื่นๆ เช่น รถบรรทุก และรถไฟ ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วจำนวน 1,592 ล้านบาท ณ 31 ธันวาคม 2553 โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ประกอบด้วย
การประกอบธุรกิจของ บริษัทแม่ และบริษัทลูก
หมายเหตุ
1.ระบบน้ำมันอากาศยานผ่านท่อ
2.คลังน้ำมันอากาศยาน
3.ระบบเติมน้ำมันอากาศยาน

สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทลูก
Update การเข้าซื้อหนี้จากKBANK


หมายเหตุ บริษัทขนส่งน้ำมันทางท่อ สัดส่วนไม่ครบ 100% เพราะ List แต่ชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่เท่านั้นส่วนผู้ถือหุ้นอื่นดังรูปข้างล่าง
ผู้ถือหุ้นในบริษัท 4.(บริษัทขนส่งน้ำมันทางท่อจำกัด) รูปด้านล่าง
 โครงสร้างรายได้
กำไรย้อนหลังหลาย ๆ ปี 
ลูกค้า10 อับดับแรก ของเดือน ธันวาคม

 ผู้ใช้บริการ

การจ่ายปันผล
การเติมน้ำมันของบริษัท


เทคโนโลยีด้านบริการของบาฟส์
บาฟส์ เป็นสุดยอดแห่งเทคโนโลยีและเปี่ยมไปด้วยสมรรถนะแห่งงานบริการโดยเราได้ทำการ ศึกษาและออกแบบร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีระบบการเติมน้ำมันเชื้อ เพลิงอากาศยาน สร้างสรรค์ระบบการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่ดีเยี่ยม และเพื่อให้เป็นมาตรฐานสูงสุดในด้านการบริการ บริษัทฯ จึงเน้นระบบการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานตาม Guideline for Aviation Fuel Quality Control and Operating Procedures ที่ออกโดย Joint Inspection Group (JIG) และได้รับการสนับสนุนจาก International Air Transport Association (IATA) ซึ่งเป็นมาตรฐานของบริษัทน้ำมันทั่วโลก
ปัจจุบัน บริษัทฯ ให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานด้วยระบบ Hydrant Pipeline Network ที่สนามบินดอนเมืองซึ่งถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีการให้บริการชั้นสูงที่มีขีด ความสามารถในด้านการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่ใช้ในการเติมให้แก่ อากาศยาน ทั้งเที่ยวบินภายในและภายนอกประเทศ เที่ยวบินขนส่งสินค้าและเที่ยวบินของหน่วยราชการ
สำหรับ สนามบินสุวรรณภูมิ บริษัทฯ ได้พัฒนาระบบ Hydrant Pipeline Network ให้ก้าวไปอีกขั้นโดยการนำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีระบบเติมน้ำมันเชื้อเพลิง อากาศยานมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อ เพลิงอากาศยานให้สูงยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มศักยภาพของสนามบินสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางอากาศ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทุก ขั้นตอนของการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานทั้งที่สนามบินดอนเมือง และที่สนามบินสุวรรณภูมิอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของศูนย์ควบคุม ทั้งที่อยู่ฝั่งคลังน้ำมัน (Control Room) และฝั่งลานจอด (Flight Control Room) เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการให้บริการสูงสุด
ในส่วนของระบบบริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานของบริษัทฯ นี้ จะประกอบไปด้วยส่วนที่สำคัญ 5 ส่วน คือ
  1. ท่อส่งน้ำมันเข้าคลัง (Jet A-1 Supply Pipelines)
    คลังน้ำมันของบริษัทฯ ออกแบบให้สามารถรับน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานประเภท Jet A-1 ได้จาก 2 แหล่ง ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะมีปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานอย่างเพียงพอ ต่อความต้องการของสนามบินทั้งที่สนามบินดอนเมืองและที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยน้ำมันจะส่งผ่านทางท่อที่ออกแบบสำหรับน้ำมัน Jet A-1 โดยเฉพาะ 
  2. คลังเก็บรักษาน้ำมัน (Aviation Fuel Depot)
    หน้าที่ของคลังน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน คือ การรับและเก็บสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานพร้อมทั้งสูบจ่ายน้ำมันไปยัง สนามบินโดยผ่านระบบ Hydrant Pipeline Network น้ำมันที่เก็บจะถูกควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ก่อนที่จะจ่ายไปยังสนามบินสิ่งที่เจือปนรวมถึงน้ำจะถูกกรองออกจากน้ำมัน Jet A-1 เพื่อรับรองว่าน้ำมันนั้น ใส บริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งเจือปน (Clear & Bright)

    คลังน้ำมันบริษัทฯ สนามบินสุวรรณภูมิในเบื้องต้นประกอบไปด้วยถังเก็บรักษาจำนวน 4 ถัง ความจุรวม 60 ล้านลิตร มีระบบจ่ายน้ำมันอัตโนมัติประกอบไปด้วย hydrant pump จำนวน 9 ชุด สามารถจ่ายน้ำมันได้ชั่วโมงละ 3,632 ลูกบาศก์เมตร โดย hydrant pump ทั้ง 9 ชุดสามารถแปรผันความเร็วได้ตลอดเวลา (variable speed drive) ซึ่งใช้เทคโนโลยี inverter เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานของสนามบิน สุวรรณภูมิและเป็นการช่วยประหยัดพลังงานอีกทาง
      a) ระบบควบคุมการรับ-จ่ายโดยอัตโนมัติ (Process Automation and Control System)
      บริษัทฯ ใช้ระบบควบคุมการรับ-จ่ายโดยอัตโนมัติชั้นสูงที่เรียกว่า Distributed Control System (DCS) ซึ่งสามารถควบคุมการเปิด-ปิด วาล์วรับ-จ่ายน้ำมัน ควบคุมปั๊มรับ-จ่ายน้ำมันผ่านจอคอมพิวเตอร์ได้โดยสะดวกและรวดเร็วขึ้น อีกทั้งยังสามารถเก็บข้อมูลการทำงานของอุปกรณ์ไว้ใน history ทำให้สะดวกต่อการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง เพื่อค้นหาความผิดปกติของระบบ
      b) ระบบวัดปริมาณน้ำมันในถังอัตโนมัติ (Automatic Tank Gauging)
      ระบบนี้ทำหน้าที่วัดค่าที่สำคัญๆ ของน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานด้วยความแม่นยำและเที่ยงตรงสูง โดยจะเชื่อมต่อกับระบบ DCS ทำให้สามารถอ่านค่าความหนาน่น ระดับ และอุณหภูมิน้ำมันได้ในเวลาเดียวกัน
      c) ระบบดับเพลิง (Fire Fighting Facilities)
      คลังน้ำมันของบริษัทฯ ได้ออกแบบและติดตั้งระบบดับเพลิงที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเตรียมพร้อมไว้สำหรับรับมือกับเหตุการณ์เพลิงไหม้ได้หลากหลายรูปแบบ โดยอาศัยอุปกรณ์ที่เพียบพร้อม เช่น ปืนฉีดน้ำขนาดใหญ่ ระบบลดความร้อนของผิวถังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบฉีดโฟมดับเพลิงเข้าถัง และระบบฉีดโฟมในลานถัง ซึ่งทุกระบบมีความพร้อมในการใช้งานได้ทันที
      d) ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (Closed Circuit Television System)
      พื้นที่โดยรอบคลังฯ ทั้งบริเวณอาคารสำนักงาน และบริเวณถังเก็บน้ำมัน ได้มีการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่มีการบันทึกภาพถ่ายคุณภาพสูงตลอด 24 ชั้วโมง โดยสามารถเก็บบันทักไว้ได้นานถึง 1 เดือน ดังนั้นกรณีหากเกิดเกตุการณ์ต่างๆ จึงสามารถเรียกข้อมูลที่บันทึกไว้กลับมาดูได้อีกครั้ง
      e) ระบบตรวจจับการบุกรุกแนวรั้ว (Perimeter Intrusion Detection System)
      นอกจากระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดแล้ว บริษัทฯ ได้ติดตั้งระบบตรวจจับการบุกรุกแนวรั้วประเภทใยแก้วนำแสง โดยระบบจะบอกตำแหน่งการบุกรุกเพี่อให้เจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยสามารถเข้าไป จัดการกับผู้บุกรุกได้ทันเวลา
  3. สถานีบริการย่อยฝั่งลานจอด (Into-Plane Service Facility)
    Into-plane Service Facility เป็นศูนย์ควบคุมและบริหารงานให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานในเขต สนามบิน งานเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานทุกประเภทจะถูกจัดการผ่านศูนย์ควบคุม (flight control)

    สถานีบริการย่อยฝั่งลานจอดประกอบไปด้วยอาคารสำนักงานฝ่ายลานจอด โรงซ่อมบำรุงรถเติมน้ำมัน ถังเก็บน้ำมันใต้ดินพร้อมปั๊มสูบจ่าย จุดเติมน้ำมันให้กับรถเติมน้ำมันอากาศยานประเภท refueller และสถานีทดสอบอุปกรณ์เติมน้ำมันอากาศยาน (test & calibration station)
  4. ระบบท่อจ่ายน้ำมันไปยังสนามบิน (Hydrant Pipeline Network)
    ระบบ hydrant pipeline network เป็นเครือข่ายท่อส่งน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแรงดันสูงที่ฝังอยู่ใต้ดินและ กระจายไปทั่วใต้บริเวณลานจอด น้ำมัน Jet A-1 จากคลังจะถูกสูบจ่ายโดย hydrant pump ผ่านระบบ hydrant pipeline ไปยังหลุมจอดแต่ละหลุม

    สนามบินดอนเมืองมีพื้นที่บริการระบบ hydrant ทั้งหมด 96 หลุมจอด ส่วนที่สนามบินสุวรรณภูมิมี 119 หลุมจอด
  5. รถเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Aircraft Refuelling Vehicles)
    ขั้นตอนสุดท้ายที่จะนำน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานไปสู่อากาศยานนั้น คือ รถเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ รถ dispenser และรถ refueller รถบริการทั้ง 2 ชนิด สามารถให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานให้แก่ทุกสายการบินได้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยความเอาใจใส่อย่างเข้มงวดในทุกขั้นตอนจึงทำให้บริษัทฯ สามารถกำหนดและควบคุมคุณภาพของน้ำมันทุกหยดที่ใช้เติมแก่อากาศยาน ใส บริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งเจือปน (Clear and Bright) ตรงตามมาตรฐานและความต้องการ จนเป็นที่เชื่อถือและยอมรับโดยทั่วไปว่าน้ำมันทุกหยดที่เติมแก่อากาศยานนั้น เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ตลอดจนการบริการที่ดีได้มาตรฐาน ทั้งทันสมัยถูกต้อง รวดเร็ว และปลอดภัย จึงเป็นที่มาของการได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐาน ISO9001:2000 จากสถาบันบูโรเวอริตัส (BVQI) ที่ทั่วโลกต่างยอมรับโดยทั่วกัน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะให้การบริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้นำระบบ computerized refuelling management มาใช้เพื่อความถูกต้องแม่นยำและให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยระบบประกอบไปด้วย
      a) ระบบสำนักงาน (Office System)
      ระบบสำนักงานซึ่งติดตั้งอยู่ในสถานีย่อยฝั่งลานจอดมีหน้าที่จัดเตรียมข้อมูล ควบคุมสั่งการให้บริการของรถเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน รวมไปถึงการบริหารกำลังคนและอุปกรณ์ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำมันเชื้อ เพลิงอากาศยานของสายการบินต่างๆ ในสนามบิน
      b) ระบบบนรถให้บริการ (Vehicle Information System) 
      ระบบบนรถให้บริการสามารถที่จะรับข้อมูลการบริการได้ 2 ทาง คือ USB flash drive หรือโดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สาย (wireless communications)
     จำนวนเที่ยวบิน 52-55 แบบรายเดือน