ภาพรวมการประกอบธุรกิจของกลุ่มบริษัท
ธุรกิจของบริษัทและบริษัทย่อยสามารถแบ่งกลุ่มตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ได้ดังนี้
1.อุตสาหกรรมการผลิตบรรจุภัณฑ์
ก.ผลิตภัณฑ์ถังโลหะ
ข.ผลิตภัณฑ์พลาสติก แบ่งย่อยได้อีกเป็น 3 ประเภท คือ
-ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัตถุดิบ PET (Polyethylene Terephthalate)
PET เป็นไฟเบอร์สังเคราะห์ที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ รวมทั้งสิ่งทอซึ่งมักถูกเรียกเป็นชื่อย่อว่าโพลีเอสเทอร์ เนื่องจาก PET เป็นพลาสติกที่แก๊สซึมผ่านได้ยากกว่าพลาสติกที่มีราคาถูก (พลาสติกซึ่งไม่ทนต่อแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีความเป็นกรด เช่น น้ำผลไม้) นอกจากนี้ยังมีน้ำหนักเบา และทนต่อแรงกระแทกได้ดี ผู้ผลิตจึงนิยมใช้ PET ในการบรรจุน้ำอัดลม น้ำดื่ม น้ำผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และผลิตเป็นฟิล์มพลาสติก หรือภาชนะบรรจุอาหารสำหรับไมโครเวฟ โดยปกติภาชนะพลาสติกจะมีสัญลักษณ์ที่เป็นตัวเลขระบุชนิดของพลาสติกอยู่ที่ ก้นขวดหรือบนภาชนะ เพื่อความสะดวกสำหรับการจำแนกชนิดของพลาสติกเพื่อนำกลับไปเวียนทำใหม่ (recycle) โดยภาชนะที่ทำจาก PET จะได้รับสัญลักษณ์เป็นเลข 1 ซึ่งหมายถึง Resin Identification Code 1
-ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัตถุดิบ PP(Polypropylene)
PP เป็นพลาสติกที่ไอน้ำซึมผ่านได้เล็กน้อย แข็งกว่าโพลิเอทิลีนทนต่อสารไขมันและความร้อนสูงใช้ทำแผ่นพลาสติถุงพลาสติกบรรจุอาหารที่ทนร้อน หลอดดูดพลาสติก เป็นต้น
-ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติก
2.อาคารสำนักงานให้เช่า ได้แก่ อาคารเลครัชดา ออฟฟิศ คอมเพล็กซ์
สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทย่อย
โครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ
หลักทรัพย์ของ TMD
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 บริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 150 ล้านบาท เรียกชำระแล้วทั้งสิ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 15,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ราคาหุ้นละ 10 บาท
ผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรก
(สังเกตุได้ว่า นามสกุล จรัญวาศน์ รวมกันประมาณ 55 % ดูเจ้าของหุ้นจะรักหุ้นตัวนี้มากนะครับ)
นโยบายการจ่ายเงินปันผล
บริษัทและบริษัทย่อยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะบริษัทไม่รวมรายการพิเศษในแต่ละปี โดยจะต้องไม่มีผลขาดทุนสะสม ในปี 2554 บริษัทจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 4.75 บาท คิดเป็นร้อยละ 67.19 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะบริษัท
ฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน <----------- อันนี้สำคัญมาก ๆ ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนบ.
งบการเงิน
รายงานการตรวจสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผู้สอบบัญชีได้ให้ความเห็นในรายงานการตรวจสอบแบบไม่มีเงื่อนไข
คำอธิบายและการวิเคราะห์ฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน
(1)ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
บริษัท อุตสาหกรรมถังโลหะไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจากการประกอบธุรกิจรวม 197.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.43 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 36.17 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2553 ซึ่งผลกำไรจากการดำเนินงานดังกล่าวได้รวมผลกระทบจากการที่บริษัทและบริษัทย่อยได้ปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่องที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ โดยการทบทวนอายุการใช้งานของสินทรัพย์ตามมาตรฐานการบัญชีที่กำหนด มีผลทำให้ค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ลดลง 35.53 ล้านบาท และบริษัทย่อยของบริษัทได้บันทึกผลขาดทุนจากเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่จำนวน 13.95 ล้านบาท หากปรับปรุงรายการดังกล่าวแล้ว บริษัทและบริษัทย่อยจะมีกำไรสุทธิจากการประกอบธุรกิจเท่ากับ 175.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 21.27 เมื่อเทียบกับปีก่อน (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 24 และข้อ 30)
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายจำนวน 1,667.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 97.93 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 6.24 และมีรายได้ค่าเช่าค่าบริการจำนวน 51.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 4.91 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.55 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้อื่นจำนวน 20.03 ล้านบาท ประกอบด้วยดอกเบี้ยรับ 8.22 ล้านบาท รายได้จากเงินชดเชยค่าภาษีอากร 0.28 ล้านบาท เงินปันผลรับ 3.70 ล้านบาท กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุน 2.77 ล้านบาท และรายได้อื่น 5.06 ล้านบาท ต้นทุนขายต่อรายได้จากการขายของบริษัทและบริษัทย่อยลดลงจากร้อยละ 83.70 ในปี 2553 เป็นร้อยละ 82.61 ในปี 2554 ลดลงคิดเป็นร้อยละ 1.09 ต้นทุนค่าเช่าและค่าบริการลดลง 12.47 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเสื่อมราคาของห้องชุดให้เช่าในอาคารเลครัชดาลดลงจำนวน 12.40 ล้านบาท จากการทบทวนอายุการใช้งานของทรัพย์สินตามมาตรฐานการบัญชีที่ใช้บังคับใหม่ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 4.40 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.11 ค่าตอบแทนผู้บริหารเพิ่มขึ้น 1.27 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.27 มีดอกเบี้ยจ่ายลดลงเล็กน้อย และมีภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง 7.50 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 30.85 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน เนื่องจากบริษัทย่อยของบริษัท 2 แห่ง ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรจากการประกอบการ มีกำหนดระยะเวลา 8 ปี มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม และเดือนกรกฎาคม 2554 ตามลำดับ (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อ 26)
ในปีที่ผ่านมา บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายสินค้าโดยรวมเพิ่มขึ้นโดยการจำหน่ายถังโลหะมีรายได้ 1,001.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.95 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 14.25 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีรายได้ 680.77 ล้านบาท ลดลง 60.09 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.11 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน
สำหรับผลิตภัณฑ์ถังโลหะ บริษัทและบริษัทย่อยสามารถจำหน่ายสินค้าได้เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณสินค้าและราคาที่จำหน่ายได้ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2553 ซึ่งทำให้รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.25 ผลิตภัณฑ์พลาสติก บริษัทย่อยสามารถขายสินค้าได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2554 จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้บริษัทย่อยที่จังหวัดปทุมธานีได้รับผลกระทบในช่วงเดือนตุลาคม 2554 เป็นผลทำให้ต้องหยุดการผลิตลงชั่วคราว และเริ่มดำเนินการผลิตและจำหน่ายสินค้าได้ใหม่ในเดือนธันวาคม 2554 เป็นผลทำให้รายได้จากผลิตภัณฑ์พลาสติกลดลง ราคาวัตถุดิบหลักของทั้งสองผลิตภัณฑ์มีราคาผันผวนมากกว่าปีก่อน โดยเฉพาะเม็ดพลาสติกมีการปรับราคาขึ้นลงอย่างรวดเร็ว แต่จากการติดตามการเคลื่อนไหวของราคาวัตถุดิบอย่างใกล้ชิด และการพยายามจัดการบริหารงานให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ต้นทุนขายสินค้าของบริษัทและบริษัทย่อยลดลง
บริษัทและบริษัทย่อยไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณธุรกรรมมีน้อย ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 27.1 และข้อ 29
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้ทั้งสิ้น 1,739.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 จำนวน 110.32 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.77 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้หลักจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์คิดเป็นร้อยละ 95.89 ของรายได้รวม ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 0.48 ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากค่าเช่าค่าบริการคิดเป็นร้อยละ 2.96 และรายได้อื่นคิดเป็นร้อยละ 1.15
อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17.09 ในปี 2553 เป็นร้อยละ 19.06 ในปี 2554 อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.67 เป็นร้อยละ 11.89 อัตราส่วนกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.90 เป็นร้อยละ 11.35 ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนขายสินค้าของบริษัทและบริษัทย่อยปรับตัวลดลง จึงทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เป็นผลมาจากบริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น มีต้นทุนสินค้าลดลง และมีค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ลดลงจากการปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีที่กล่าวถึงแล้วข้างต้น
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้น 36.36 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.66 เงินลงทุนเผื่อขายเพิ่มขึ้น 15.25 ล้านบาท เงินลงทุนระยะยาวเพิ่มขึ้น 8.49 ล้านบาท ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ เพิ่มขึ้น 20.42 ล้านบาท จากการซื้อที่ดินเพื่อตั้งโรงงานที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก จำนวน 12.00 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ 44.15 ล้านบาท และลดลงจากการตัดค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินประจำปีจำนวน 42.08 ล้านบาท
คุณภาพของสินทรัพย์
สำหรับผลิตภัณฑ์ถังโลหะ บริษัทและบริษัทย่อยสามารถจำหน่ายสินค้าได้เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณสินค้าและราคาที่จำหน่ายได้ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2553 ซึ่งทำให้รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.25 ผลิตภัณฑ์พลาสติก บริษัทย่อยสามารถขายสินค้าได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2554 จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้บริษัทย่อยที่จังหวัดปทุมธานีได้รับผลกระทบในช่วงเดือนตุลาคม 2554 เป็นผลทำให้ต้องหยุดการผลิตลงชั่วคราว และเริ่มดำเนินการผลิตและจำหน่ายสินค้าได้ใหม่ในเดือนธันวาคม 2554 เป็นผลทำให้รายได้จากผลิตภัณฑ์พลาสติกลดลง ราคาวัตถุดิบหลักของทั้งสองผลิตภัณฑ์มีราคาผันผวนมากกว่าปีก่อน โดยเฉพาะเม็ดพลาสติกมีการปรับราคาขึ้นลงอย่างรวดเร็ว แต่จากการติดตามการเคลื่อนไหวของราคาวัตถุดิบอย่างใกล้ชิด และการพยายามจัดการบริหารงานให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ต้นทุนขายสินค้าของบริษัทและบริษัทย่อยลดลง
บริษัทและบริษัทย่อยไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณธุรกรรมมีน้อย ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 27.1 และข้อ 29
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้ทั้งสิ้น 1,739.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 จำนวน 110.32 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.77 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้หลักจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์คิดเป็นร้อยละ 95.89 ของรายได้รวม ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 0.48 ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากค่าเช่าค่าบริการคิดเป็นร้อยละ 2.96 และรายได้อื่นคิดเป็นร้อยละ 1.15
อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17.09 ในปี 2553 เป็นร้อยละ 19.06 ในปี 2554 อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.67 เป็นร้อยละ 11.89 อัตราส่วนกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.90 เป็นร้อยละ 11.35 ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนขายสินค้าของบริษัทและบริษัทย่อยปรับตัวลดลง จึงทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เป็นผลมาจากบริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น มีต้นทุนสินค้าลดลง และมีค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ลดลงจากการปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีที่กล่าวถึงแล้วข้างต้น
สำหรับอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9.55 เป็นร้อยละ 12.55 ในปี 2554 เนื่องจากกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นและผลของการปรับปรุงตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 40 เรื่องอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง 156.02 ล้านบาท ตามหมายเหตุข้อ 4 บริษัทโดยคณะกรรมการบริษัทมีมติให้จ่ายเงินปันผลจากการดำเนินงานงวดปี 2554 คือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2554 ในอัตราหุ้นละ 6.00 บาท รวมเป็นเงิน 90.00 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52.94 ซึ่งนโยบายการจ่ายเงินปันผลจะจ่ายไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะบริษัท คณะกรรมการบริษัทจะได้นำเสนอให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2555 ในวันที่ 24 เมษายน 2555 นี้
ฐานะการเงิน
สินทรัพย์
สินทรัพย์หมุนเวียนเพิ่มขึ้น 102.80 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.86 โดยเงินลงทุนชั่วคราวเพิ่มขึ้น 79.15 ล้านบาท ลูกหนี้การค้าสุทธิเพิ่มขึ้น 29.08 ล้านบาท เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลง 18.20 ล้านบาท สินค้าคงเหลือลดลง 19.73 ล้านบาท และสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น 32.50 ล้านบาท
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้น 36.36 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.66 เงินลงทุนเผื่อขายเพิ่มขึ้น 15.25 ล้านบาท เงินลงทุนระยะยาวเพิ่มขึ้น 8.49 ล้านบาท ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ เพิ่มขึ้น 20.42 ล้านบาท จากการซื้อที่ดินเพื่อตั้งโรงงานที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก จำนวน 12.00 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ 44.15 ล้านบาท และลดลงจากการตัดค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินประจำปีจำนวน 42.08 ล้านบาท
คุณภาพของสินทรัพย์
บริษัทและบริษัทย่อยเห็นว่าสินทรัพย์ที่มีอยู่ได้แสดงมูลค่าที่แท้จริงและไม่มีรายการใดที่มีข้อบ่งชี้ว่าจะทำให้ด้อยค่าหรือไม่ได้รับคืน ซึ่งหากมีทางบริษัทและบริษัทย่อยก็ได้ตั้งสำรองหรือค่าเผื่อการลดค่าไว้แล้ว ตามหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อ 5.4, ข้อ 5.10, ข้อ 7 ถึง ข้อ 15 จากตารางอัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการดำเนินงานจะเห็นได้ว่าในปี 2554 บริษัทและบริษัทย่อยมีอัตราผลตอบแทนจากทรัพย์สินและอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้นจากปีก่อน นอกจากผลกำไรสุทธิของบริษัทและบริษัทย่อยที่เพิ่มขึ้นแล้ว ผลของการปรับปรุงตามมาตรฐานการบัญชีที่ใช้บังคับใหม่ในปี 2554 ทำให้สินทรัพย์ของบริษัทและบริษัทย่อยลดลง มีผลทำให้อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยมีค่าเฉลี่ยที่ดีขึ้น สำหรับอัตราการหมุนของสินทรัพย์มีอัตราส่วนใกล้เคียงกับปีก่อน
ลูกหนี้การค้าสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 311.79 ล้านบาท เป็น 390.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.15 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.39 ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 58 วัน เป็น 59 วัน โดยนโยบายการให้สินเชื่ออยู่ระหว่าง 30-90 วัน ลูกหนี้ค้างชำระที่เกินกว่า 90 วัน ใกล้เคียงกับปี 2553 มีจำนวนเท่ากับ 4.92 ล้านบาท บริษัทและบริษัทย่อยได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญไว้จำนวน 1.83 ล้านบาท (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อ 9)
สภาพคล่อง
กระแสเงินสด
จำนวนและสัดส่วนของกระแสเงินสดจากกิจกรรมต่าง ๆ
ในปี 2554 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรที่เป็นตัวเงินจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 257.60 ล้านบาท เป็น 262.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.31 ล้านบาท เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 186.16 ล้านบาท เป็น 240.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.61 ล้านบาท จากการที่บริษัทและบริษัทย่อยมีสต็อกสินค้าและวัตถุดิบคงเหลือลดลงสุทธิ 19.73 ล้านบาท เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่นลดลง 3.04 ล้านบาท และภาษีเงินได้ลดลง 14.66 ล้านบาท
กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน มีการลงทุนเพิ่ม 183.46 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนเพิ่มในเงินลงทุนชั่วคราว และเงินลงทุนระยะยาวจำนวน 97.60 ล้านบาท ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีเงินลงทุนชั่วคราวและเงินลงทุนระยะยาวจำนวน 390.94 ล้านบาท และ 117.08 ล้านบาท ตามลำดับ (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 8, ข้อ 11 และข้อ 12) เงินสดจ่ายเพื่อซื้อสินทรัพย์ถาวรและเงินมัดจำสินทรัพย์จำนวน 99.04 ล้านบาท จากการซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ทดแทนเครื่องจักรเก่าสำหรับกิจกรรมจัดหาเงิน บริษัทและบริษัทย่อยจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น 74.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1.25 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน
จากอัตราส่วนสภาพคล่องที่แสดงไว้ แสดงให้เห็นว่าสภาพคล่องของบริษัทและบริษัทย่อยมีอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกับปี 2553 ซึ่งถือเป็นอัตราส่วนที่ดีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท และ CASH CYCLE ที่มีระยะเวลาลดลงเมื่อเทียบกับปี 2553 ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โครงสร้างเงินทุน โครงสร้างเงินทุนของบริษัทและบริษัทย่อยอยู่ในเกณฑ์ที่ดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นเท่ากับ 0.09 เท่า เท่ากับปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับกิจการประเภทเดียวกัน บริษัทและบริษัทย่อยไม่มีนโยบายที่จะก่อหนี้เกินกว่าความจำเป็นของธุรกิจ ในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจาก 1,511.59 ล้านบาท เป็น 1,634.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 122.60 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.11 จากการเพิ่มขึ้นของกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรจาก 781.08 ล้านบาท เป็น 896.01 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.71 อันสืบเนื่องมาจากกำไรที่มาจากผลประกอบการของบริษัทและบริษัทย่อย
สำหรับหนี้สิน บริษัทและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจาก 136.05 ล้านบาท เป็น 152.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.56 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.17 โดยเจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่นเพิ่มขึ้น 2.96 ล้านบาท หนี้สินตามสัญญาเช่าการเงินเพิ่มขึ้น 1.57 ล้านบาท ภาระผูกพันผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น 11.94 ล้านบาท บริษัทและบริษัทย่อยไม่มีหนี้สินกับสถาบันการเงิน บริษัทย่อยมีเงินให้กู้ยืมระยะยาวจากบุคคลและกิจการที่เกี่ยวข้องจำนวน 10 ล้านบาท (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 6.8 ข้อ 16 ถึงข้อ 18) โดยมีอัตราดอกเบี้ย หลักประกัน และเงื่อนไขของหนี้สินเป็นไปตามปกติทั่วไป บริษัทและบริษัทย่อยไม่มีภาระหนี้เงินกู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศ ยกเว้นภาระ L/C ในการซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ ตามหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อ 29
ค่าตอบแทนจากการสอบบัญชีและตรวจสอบระบบควบคุมภายใน
ค่าตอบแทนจากการสอบบัญชี
บริษัทและบริษัทย่อยทุกบริษัทใช้ผู้สอบบัญชีจากสำนักงานเดียวกัน ในปีที่ผ่านมาจ่ายค่าตอบแทนการสอบบัญชีให้แก่สำนักงานสอบบัญชีที่ผู้สอบบัญชีสังกัดเป็นจำนวนเงินรวม 1,835,000 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 90,000 บาท
ค่าบริการอื่น
บริษัทและบริษัทย่อยจ่ายค่าตอบแทนการตรวจสอบระบบการควบคุมภายในให้แก่สำนักงานผู้ตรวจสอบในรอบปีบัญชีที่ผ่านมาเป็นจำนวนเงินรวม 300,000 บาท เท่ากับปีก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น