คอลัมน์: เรื่องเดียว หลากประเด็น
พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ, CFP, ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน)
ชื่อตอน: ถอดรหัสนโยบายเฟด
กลางสัปดาห์ก่อน เฟดเซอร์ไพร์สตลาดครั้งสำคัญ โดยส่งสัญญาณตรึงอัตราดอกเบี้ยต่ำใกล้ 0% อย่างน้อยอีก 3 ปี! หรือจนถึงปลายปี 2014 (เดิมบอกไว้ที่กลางปี 2013) และพร้อมพิจารณาผ่อนคลายนโยบายการเงินเชิงปริมาณ(QE3)เพิ่มเติม
ตลาดการเงิน ทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์ตอบรับสัญญาณบวกนี้ ทองคำดีดกลับมาเคลื่อนไหวแถว 1730 เหรียญต่อออนซ์ พุ่งขึ้นเกือบ 10% จากระดับปิดเมื่อสิ้นปี 54 ดัชนีหุ้นโลกสู่จุดสูงสุดในรอบกว่า 5 เดือน
ด้านราคาพันธบัตรสหรัฐขึ้นแรง จนดึงอัตราผลตอบแทนตามราคาตลาด(Bond Yield) ร่วงเหลือเพียง 0.75% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สำหรับรุ่น 5 ปี ขณะที่รุ่น 10 ปี และ 30 ปี Yield เหลือเพียง 1.89% และ 1.17% ตามลำดับ
น่าสังเกตว่า Yield ของพันธบัตรสหรัฐทุกรุ่น อยู่ต่ำกว่าเงินเฟ้อมาก กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า อัตราดอกเบี้ยหลังหักเงินเฟ้อ (Real Interest rate) ติบลบมากขึ้น
การส่งสัญาญผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของเฟด ถอดรหัสได้ดังนี้
ประการแรก เฟดกำลังลดแรงจูงใจในการออมเงิน ถ้ายิ่งออม อำนาจซื้อจะยิ่งหดหาย เพราะดอกเบี้ยโตไม่ทันเงินเฟ้อ เฟดต้องการให้คนใช้เงิน จะบริโภคหรือลงทุนก็ได้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงาน
ประการที่ 2 เฟดกำลังกระตุ้นให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เช่น ตราสารหนี้เอกชน หุ้นสามัญ หรือเปิดกิจการเอง หากยังลงทุนในพันธบัตรสหรัฐที่มีความมั่นคงสูง จะถูกลงโทษด้วยผลตอบแทนที่ต่ำมากๆ และแพ้เงินเฟ้อ
เมื่อเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสียงมากขึ้น ราคาหุ้นกู้และหุ้นสามัญที่สูงขึ้น จะช่วยให้
1) การระดมทุนจากตลาดการเงินจะมีต้นทุนที่ถูกลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้บริษัทเอกชนขยายการลงทุน จ้างคนเพิ่ม
2) การบริโภคและการลงทุนจะสูงขึ้น เนื่องจากผู้ลงทุนที่ได้กำไรจากตลาดการเงินแล้ว ถูกคาดหวังให้ช่วยนำกำไรไปบริโภคหรือลงทุนต่อ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ประสิทธิภาพของนโยบายนี้จะด้อยลง หากนักลงทุนนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ แทนที่จะไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นในสหรัฐ
“เงินคล้ายน้ำ” น้ำจะไหลจากที่สูง ลงสู่ที่ต่ำ ขณะที่เงินจะไหลจากที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ไปที่ๆ ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
ผลจากนโยบายข้างต้น เมื่อราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสหรัฐสูงขึ้นมาก โอกาสในการทำกำไรจะลดลง เงินจึงมีแนวโน้มไหลออกไปลงทุน ตลาดทุนจับสัญญาณนี้ได้ จึงขยับขึ้นล่วงหน้าทันที
ประการที่ 3 เงินเฟ้อระยะยาวจะสูงขึ้น การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม จะทำให้มีเงินส่วนเกินไหลเข้าตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะทีการบริโภคและการลงทุนที่สูงขึ้นจะกระตุ้นเงินเฟ้อระยะถัดไป อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากกว่าทีเคยประเมิน ช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อไปได้มากโข การทำนโยบายนี้จึงไม่ได้ทำให้ความกลัวเรื่องเงินเฟ้อพุ่งขึ้นมากนัก
น่าสังเกตว่า สหรัฐและยุโรป รวมถึงจีนกำลังผ่อนคลายนโยบายการเงินพร้อมๆ กัน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อประเทศหลักกดอัตราดอกเบี้ย ประเทศอื่น รวมถึงไทยจึงมีพื้นที่ในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม เพื่อลดความเสี่ยงด้านการเติบโต
ผลจากนโยบายนี้ทำให้มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงของบ้านเรา ศุกร์ที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยถึง 4.2 พันล้านบาท ดัชนี SET ปิดที่ 1076 จุด จ่อจะทะลุแนวต้าน 1080 จุด
หากเงินยังไหลเข้าต่ออาจผลักให้ดัชนีวิ่งทะลุ 1100 จุด อย่างไรก็ดี พื้นฐานเศรษฐกิจไทยวิ่งตามไม่ทัน เมื่อเงินหยุดไหลเข้า หรือเกิดความกลัว ดัชนีหุ้นจะเกิดการปรับฐานตามมา จึงยังแนะนำลดพอร์ตต่อเนื่องตามแนวต้านใหญ่ๆ โดยเฉพาะในหุ้นที่อ่อนไหวกับภาวะเศรษฐกิจ และทีเกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555
Value Investor จำนวนมากหรืออาจจะเรียกว่า…
Value Investor จำนวนมากหรืออาจจะเรียกว่า…
Posted on December 7, 2010 by ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Value Investor จำนวนมากหรืออาจจะเรียกว่าส่วนใหญ่ ชอบลงทุนในหุ้นตัวเล็กหรือบริษัทขนาดเล็ก เหตุผลก็คือ พวกเขาเชื่อว่าหุ้นตัวเล็กนั้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติได้หลักฐานที่ปรากฏในตลาดหุ้นก็ “ชัดเจน” หุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลายเท่า บางตัวเป็นสิบเท่าภายในเวลาเพียงไม่เกิน 1- 2 ปี ที่ผ่านมานั้น มักจะเป็นหุ้นตัวเล็กที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นหรือ Market Cap. ไม่เกิน 3-4 พันล้านบาท หลายตัวอาจจะไม่เกินพันล้านบาทด้วยซ้ำ หุ้นตัวเล็กนั้นมีเสน่ห์สำหรับนักลงทุนไม่เฉพาะที่เป็นนักเก็งกำไรเล่นหุ้นรายวัน แต่เป็นขวัญใจของ VI ด้วย ว่าที่จริง VI ระดับ “เซียน” ที่ทำผลตอบแทนมหาศาลในช่วงเร็ว ๆ ต่างก็รวยมาด้วยหุ้นตัวเล็กเป็นส่วนใหญ่ แทบจะเป็นข้อสรุปได้เลยว่า ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในหุ้นสูงมากโดยเฉพาะเมื่อพอร์ตของคุณยังเล็กอยู่นั้น ไม่มีทางอื่นนอกจากลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก
ลองมาดูกันว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ และความเสี่ยงอยู่ที่ไหน
ประเด็นแรก มองกันที่พื้นฐาน หุ้นตัวเล็กนั้นมักจะมีโอกาสเติบโตสูงในขณะที่หุ้นตัวใหญ่นั้น มักจะเติบโตเต็มที่หรือเติบโตไปมากแล้ว การที่หุ้นตัวใหญ่จะมียอดขายและกำไรเติบโตขึ้นอีกเท่าตัวภายในเวลา 3-4 ปี นั้นน่าจะทำได้ยากมาก ในขณะที่หุ้นตัวเล็กนั้นบางบริษัทสามารถเติบโตเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัวได้ภายในระยะเวลาเดียวกัน แนวความคิดก็คือ หุ้นตัวใหญ่นั้นมักจะมีส่วนแบ่งการตลาดสูงและมักอยู่ในตลาดที่อิ่มตัวหรือใกล้จะอิ่มตัวแล้ว ดังนั้น โอกาสที่จะโตต่อไปก็จะน้อยลงในขณะที่หุ้นตัวเล็กนั้นมักจะอยู่ในธุรกิจที่ตลาดกำลังโตหรือไม่ก็ยังเป็นกิจการที่เล็กและมีส่วนแบ่งการตลาดน้อย ดังนั้น จึงสามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งได้
ข้อโต้แย้งของผมก็คือ ในเรื่องของตลาดที่อิ่มตัวนั้นบ่อยครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง แน่นอนว่าการเติบโตระดับที่เกินปีละ 15-20 % ในระยะยาว 4-5 ปีขึ้นไปสำหรับบริษัทขนาดใหญ่นั้น ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก แต่การโตปีละ 7-10% ก็น่าจะยังทำได้อยู่ไม่น้อย แต่ปรากฏการณ์ใหม่ที่เริ่มจะเกิดขึ้นในเมืองไทยก็คือ บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งเริ่ม “Go Inter” นั่นคือเริ่มขยายธุรกิจไปต่างประเทศ และถ้าหากว่าทำสำเร็จ ข้อจำกัดเรื่องตลาดอิ่มตัวก็จะหมดไป ดังนั้น บริษัทขนาดใหญ่ก็ยังมีโอกาสโตไปได้เรื่อย ๆ ในระดับที่น่าประทับใจซึ่งก็จะทำให้ราคาหุ้นยังสูงขึ้นได้เรื่อย ๆ นี่ทำให้ผมนึกถึงหุ้นโค๊กที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ ลงทุนเมื่อราวสิบกว่าปีก่อนในช่วงนั้นถ้าไม่คิดถึงตลาดต่างประเทศแล้วโค๊กก็น่าจะเป็นหุ้นที่ “อิ่มตัว” เพราะคนอเมริกันทุกคนดื่มโค๊กกันแทบจะแทนน้ำแต่หลังจากนั้น โดยเฉพาะเมื่อจีนและประเทศกำลังพัฒนาเปิดกิจการโค๊กก็โตขึ้นจากการขยายกิจการไปต่างประเทศและทำให้หุ้นโค๊กปรับตัวขึ้นมหาศาล
แน่นอนว่าหุ้นตัวเล็กที่เติบโตสูงนั้นสามารถเติบโตได้มากกว่าหุ้นตัวใหญ่แต่ความเสี่ยงของหุ้นตัวเล็กก็สูงกว่ามาก ถ้ามองจากสถิติโดยรวมบางทีก็อาจจะพบว่าหุ้นตัวเล็กจำนวนมากนั้น ไม่ได้โตไปไหนเลย เคยเล็กอย่างไรก็เล็กอย่างนั้น หุ้นตัวเล็กหลายตัวที่โตขึ้นนั้น บางทีก็โตแบบไม่มีคุณภาพ นั่นคือ โตโดยที่กำไรไม่เพิ่มหรือโตโดยที่ต้องลงทุนไปมากจนแทบไม่คุ้มที่จะโต อาจจะมีเพียงบางบริษัทเท่านั้นที่โตจริงและโตมากซึ่งทำให้เกิดภาพว่าหุ้นตัวเล็กโตเร็ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ความเสี่ยงในแง่ของธุรกิจนั้น หุ้นตัวเล็กก็น่าจะสูงกว่าหุ้นตัวใหญ่ ดังนั้น สำหรับ VI หรือนักลงทุนที่ไม่ใช่ “เซียน” แล้ว การเล่นหุ้นตัวเล็กก็อาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ที่เหนือกว่า ถ้าจะพูดไป การลงทุนในหุ้นตัวใหญ่ที่ยังเติบโตดีในระดับ 15% ต่อปีนั้นผมคิดว่าดีกว่าเล่นหุ้นตัวเล็กที่มีโอกาสโต 30% แต่ความเสี่ยงสูงกว่ามาก
ประเด็นที่สอง คือเรื่องที่หุ้นตัวเล็กนั้นไม่มีนักวิเคราะห์หุ้นติดตามหรือวิเคราะห์หามูลค่าที่แท้จริง ดังนั้น หุ้นตัวเล็กส่วนใหญ่จึงถูก “มองข้าม” หุ้นหลายตัวอาจจะมีราคาต่ำกว่าพื้นฐานมากเรียกว่าเป็นหุ้นที่ “Under Valued” สุด ๆ จึงเป็นโอกาสที่ VI จะสามารถเข้าไปซื้อและทำกำไรได้มหาศาลหลังจากที่คนจำนวนมากเริ่มที่จะตระหนักถึงมูลค่าของมันและเข้ามาซื้อหุ้นทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปมาก
ข้อโต้แย้งของผมก็คือ ในภาวะที่ตลาดหุ้นบูม มีการเก็งกำไรสูงอย่างในปัจจุบันนั้น หุ้นตัวเล็กกลับกลายเป็นหุ้นยอดนิยม ถึงแม้ว่านักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์อาจจะไม่ได้ทำรายงานการวิเคราะห์เป็นเรื่องเป็นราวหรือไม่วิเคราะห์เลยแต่นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นแนว VI
ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากและมีความสามารถสูงไม่แพ้นักวิเคราะห์ก็หันมาสนใจหุ้นเล็ก ๆ เหล่านี้ ดังนั้น ที่บอกว่าหุ้นตัวเล็กนั้นเป็นหุ้นที่ถูกมองข้ามนั้น ในอดีตอาจจะเป็นจริง แต่ในปัจจุบัน ผมคิดว่ามีน้อยลงไปมาก ว่าที่จริงถ้าดูกันที่ค่า PE ซึ่งบ่งบอกถึงความถูกความแพงของหุ้นโดยรวมแล้ว หุ้นตัวเล็กไม่ได้ถูกกว่าหุ้นตัวใหญ่เลย ซึ่งก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า หุ้นตัวเล็กนั้น ในขณะนี้ไม่ได้ถูก “มองข้าม” อีกต่อไป และดังนั้น หุ้นตัวเล็กก็ไม่ได้ Under Valued ตรงกันข้าม จำนวนไม่น้อยน่าจะ Over Valued ด้วยซ้ำ
ประเด็นสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ การลงทุนในหุ้นตัวเล็กนั้นมีโอกาสที่จะถูก “แจ็คพ็อต” คืออาจจะทำกำไรได้หลาย ๆ “เด้ง” หรือหลาย ๆ เท่าหรือหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ในเวลาอันสั้น บางทีไม่ถึงปีในขณะที่หุ้นตัวใหญ่นั้น ไม่ว่าจะดีแค่ไหนก็มักจะไม่สามารถทำกำไรแบบนั้นได้ ถ้าจะโตระดับนั้นได้ก็มักจะต้องอาศัยเวลาหลาย ๆ ปี ซึ่งทำให้ไม่สามารถสร้างผลตอบแทน “ระดับเทพ” ได้
ประเด็นนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องจริง แต่นี่อาจจะเป็นเรื่องของการ “เก็งกำไร” ที่มีความเสี่ยงและเป็นเรื่องที่เราจะต้องเลือกว่าเราจะไปในเส้นทางไหน นั่นก็คือ จะเติบโตอย่างปลอดภัยและไปช้ากว่า หรือจะโตอย่างรวดเร็วแต่เสี่ยงที่จะล้มเหลวเมื่อหุ้นที่อาจจะโตหลายเด้งนั้นกลายเป็นลดลงหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เหนือสิ่งอื่นใด ความสำเร็จสูงมากในระยะยาวไม่จำเป็นต้องได้ผลตอบแทนดีผิดปกติในปีใดปีหนึ่งแต่ขึ้นอยู่กับความคงเส้นคงวาของผลตอบแทนที่ดีปีแล้วปีเล่า วอเร็น
บัฟเฟตต์ เองนั้น ไม่เคยมีปีใดที่เขาสามารถทำผลตอบแทนของพอร์ตได้เกินร้อยเปอร์เซ็นต์เลย แต่สถิติระยะยาวของเขาไม่มีคนเทียบได้ และเขาแทบจะไม่ลงทุนในหุ้นตัวเล็กเลย
ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ชอบหุ้นตัวเล็กว่าที่จริงในช่วงแรก ๆ ของการลงทุนนั้น
ส่วนใหญ่ผมมักจะลงทุนในหุ้นตัวเล็ก และทุกวันนี้ผมก็คิดว่าโอกาสในหุ้นตัวเล็กก็ยังดีกว่าหุ้นตัวใหญ่แม้ว่าหุ้น ตัวเล็กสำหรับผมในปัจจุบันอาจจะเป็น “หุ้นขนาดกลาง” มากกว่า อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเหตุผลในการลงทุนในหุ้นตัวเล็กหลายๆ เรื่องนั้นในปัจจุบันมีน้ำหนักน้อยลงไป พูดง่ายๆ หุ้นตัวเล็กไม่ใช่ขวัญใจของผมและผมไม่เน้นหุ้นตัวเล็ก ไม่ใช่แค่เพราะว่าหุ้นตัวเล็กหาซื้อหุ้นยากไม่มีสภาพคล่อง แต่เป็นเพราะว่าหุ้นตัวเล็กนั้นส่วนใหญ่ไม่มีความเข้มแข็งหรือความโดดเด่นพอในแง่ของธุรกิจ ซึ่งทำให้การลงทุนระยะยาวไม่สามารถทำได้ง่าย เช่นเดียวกัน ความเสี่ยงก็มักจะสูงกว่าที่ผมอยากจะรับ
Posted on December 7, 2010 by ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Value Investor จำนวนมากหรืออาจจะเรียกว่าส่วนใหญ่ ชอบลงทุนในหุ้นตัวเล็กหรือบริษัทขนาดเล็ก เหตุผลก็คือ พวกเขาเชื่อว่าหุ้นตัวเล็กนั้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติได้หลักฐานที่ปรากฏในตลาดหุ้นก็ “ชัดเจน” หุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลายเท่า บางตัวเป็นสิบเท่าภายในเวลาเพียงไม่เกิน 1- 2 ปี ที่ผ่านมานั้น มักจะเป็นหุ้นตัวเล็กที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นหรือ Market Cap. ไม่เกิน 3-4 พันล้านบาท หลายตัวอาจจะไม่เกินพันล้านบาทด้วยซ้ำ หุ้นตัวเล็กนั้นมีเสน่ห์สำหรับนักลงทุนไม่เฉพาะที่เป็นนักเก็งกำไรเล่นหุ้นรายวัน แต่เป็นขวัญใจของ VI ด้วย ว่าที่จริง VI ระดับ “เซียน” ที่ทำผลตอบแทนมหาศาลในช่วงเร็ว ๆ ต่างก็รวยมาด้วยหุ้นตัวเล็กเป็นส่วนใหญ่ แทบจะเป็นข้อสรุปได้เลยว่า ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในหุ้นสูงมากโดยเฉพาะเมื่อพอร์ตของคุณยังเล็กอยู่นั้น ไม่มีทางอื่นนอกจากลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก
ลองมาดูกันว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ และความเสี่ยงอยู่ที่ไหน
ประเด็นแรก มองกันที่พื้นฐาน หุ้นตัวเล็กนั้นมักจะมีโอกาสเติบโตสูงในขณะที่หุ้นตัวใหญ่นั้น มักจะเติบโตเต็มที่หรือเติบโตไปมากแล้ว การที่หุ้นตัวใหญ่จะมียอดขายและกำไรเติบโตขึ้นอีกเท่าตัวภายในเวลา 3-4 ปี นั้นน่าจะทำได้ยากมาก ในขณะที่หุ้นตัวเล็กนั้นบางบริษัทสามารถเติบโตเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัวได้ภายในระยะเวลาเดียวกัน แนวความคิดก็คือ หุ้นตัวใหญ่นั้นมักจะมีส่วนแบ่งการตลาดสูงและมักอยู่ในตลาดที่อิ่มตัวหรือใกล้จะอิ่มตัวแล้ว ดังนั้น โอกาสที่จะโตต่อไปก็จะน้อยลงในขณะที่หุ้นตัวเล็กนั้นมักจะอยู่ในธุรกิจที่ตลาดกำลังโตหรือไม่ก็ยังเป็นกิจการที่เล็กและมีส่วนแบ่งการตลาดน้อย ดังนั้น จึงสามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งได้
ข้อโต้แย้งของผมก็คือ ในเรื่องของตลาดที่อิ่มตัวนั้นบ่อยครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง แน่นอนว่าการเติบโตระดับที่เกินปีละ 15-20 % ในระยะยาว 4-5 ปีขึ้นไปสำหรับบริษัทขนาดใหญ่นั้น ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก แต่การโตปีละ 7-10% ก็น่าจะยังทำได้อยู่ไม่น้อย แต่ปรากฏการณ์ใหม่ที่เริ่มจะเกิดขึ้นในเมืองไทยก็คือ บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งเริ่ม “Go Inter” นั่นคือเริ่มขยายธุรกิจไปต่างประเทศ และถ้าหากว่าทำสำเร็จ ข้อจำกัดเรื่องตลาดอิ่มตัวก็จะหมดไป ดังนั้น บริษัทขนาดใหญ่ก็ยังมีโอกาสโตไปได้เรื่อย ๆ ในระดับที่น่าประทับใจซึ่งก็จะทำให้ราคาหุ้นยังสูงขึ้นได้เรื่อย ๆ นี่ทำให้ผมนึกถึงหุ้นโค๊กที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ ลงทุนเมื่อราวสิบกว่าปีก่อนในช่วงนั้นถ้าไม่คิดถึงตลาดต่างประเทศแล้วโค๊กก็น่าจะเป็นหุ้นที่ “อิ่มตัว” เพราะคนอเมริกันทุกคนดื่มโค๊กกันแทบจะแทนน้ำแต่หลังจากนั้น โดยเฉพาะเมื่อจีนและประเทศกำลังพัฒนาเปิดกิจการโค๊กก็โตขึ้นจากการขยายกิจการไปต่างประเทศและทำให้หุ้นโค๊กปรับตัวขึ้นมหาศาล
แน่นอนว่าหุ้นตัวเล็กที่เติบโตสูงนั้นสามารถเติบโตได้มากกว่าหุ้นตัวใหญ่แต่ความเสี่ยงของหุ้นตัวเล็กก็สูงกว่ามาก ถ้ามองจากสถิติโดยรวมบางทีก็อาจจะพบว่าหุ้นตัวเล็กจำนวนมากนั้น ไม่ได้โตไปไหนเลย เคยเล็กอย่างไรก็เล็กอย่างนั้น หุ้นตัวเล็กหลายตัวที่โตขึ้นนั้น บางทีก็โตแบบไม่มีคุณภาพ นั่นคือ โตโดยที่กำไรไม่เพิ่มหรือโตโดยที่ต้องลงทุนไปมากจนแทบไม่คุ้มที่จะโต อาจจะมีเพียงบางบริษัทเท่านั้นที่โตจริงและโตมากซึ่งทำให้เกิดภาพว่าหุ้นตัวเล็กโตเร็ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ความเสี่ยงในแง่ของธุรกิจนั้น หุ้นตัวเล็กก็น่าจะสูงกว่าหุ้นตัวใหญ่ ดังนั้น สำหรับ VI หรือนักลงทุนที่ไม่ใช่ “เซียน” แล้ว การเล่นหุ้นตัวเล็กก็อาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ที่เหนือกว่า ถ้าจะพูดไป การลงทุนในหุ้นตัวใหญ่ที่ยังเติบโตดีในระดับ 15% ต่อปีนั้นผมคิดว่าดีกว่าเล่นหุ้นตัวเล็กที่มีโอกาสโต 30% แต่ความเสี่ยงสูงกว่ามาก
ประเด็นที่สอง คือเรื่องที่หุ้นตัวเล็กนั้นไม่มีนักวิเคราะห์หุ้นติดตามหรือวิเคราะห์หามูลค่าที่แท้จริง ดังนั้น หุ้นตัวเล็กส่วนใหญ่จึงถูก “มองข้าม” หุ้นหลายตัวอาจจะมีราคาต่ำกว่าพื้นฐานมากเรียกว่าเป็นหุ้นที่ “Under Valued” สุด ๆ จึงเป็นโอกาสที่ VI จะสามารถเข้าไปซื้อและทำกำไรได้มหาศาลหลังจากที่คนจำนวนมากเริ่มที่จะตระหนักถึงมูลค่าของมันและเข้ามาซื้อหุ้นทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปมาก
ข้อโต้แย้งของผมก็คือ ในภาวะที่ตลาดหุ้นบูม มีการเก็งกำไรสูงอย่างในปัจจุบันนั้น หุ้นตัวเล็กกลับกลายเป็นหุ้นยอดนิยม ถึงแม้ว่านักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์อาจจะไม่ได้ทำรายงานการวิเคราะห์เป็นเรื่องเป็นราวหรือไม่วิเคราะห์เลยแต่นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นแนว VI
ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากและมีความสามารถสูงไม่แพ้นักวิเคราะห์ก็หันมาสนใจหุ้นเล็ก ๆ เหล่านี้ ดังนั้น ที่บอกว่าหุ้นตัวเล็กนั้นเป็นหุ้นที่ถูกมองข้ามนั้น ในอดีตอาจจะเป็นจริง แต่ในปัจจุบัน ผมคิดว่ามีน้อยลงไปมาก ว่าที่จริงถ้าดูกันที่ค่า PE ซึ่งบ่งบอกถึงความถูกความแพงของหุ้นโดยรวมแล้ว หุ้นตัวเล็กไม่ได้ถูกกว่าหุ้นตัวใหญ่เลย ซึ่งก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า หุ้นตัวเล็กนั้น ในขณะนี้ไม่ได้ถูก “มองข้าม” อีกต่อไป และดังนั้น หุ้นตัวเล็กก็ไม่ได้ Under Valued ตรงกันข้าม จำนวนไม่น้อยน่าจะ Over Valued ด้วยซ้ำ
ประเด็นสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ การลงทุนในหุ้นตัวเล็กนั้นมีโอกาสที่จะถูก “แจ็คพ็อต” คืออาจจะทำกำไรได้หลาย ๆ “เด้ง” หรือหลาย ๆ เท่าหรือหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ในเวลาอันสั้น บางทีไม่ถึงปีในขณะที่หุ้นตัวใหญ่นั้น ไม่ว่าจะดีแค่ไหนก็มักจะไม่สามารถทำกำไรแบบนั้นได้ ถ้าจะโตระดับนั้นได้ก็มักจะต้องอาศัยเวลาหลาย ๆ ปี ซึ่งทำให้ไม่สามารถสร้างผลตอบแทน “ระดับเทพ” ได้
ประเด็นนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องจริง แต่นี่อาจจะเป็นเรื่องของการ “เก็งกำไร” ที่มีความเสี่ยงและเป็นเรื่องที่เราจะต้องเลือกว่าเราจะไปในเส้นทางไหน นั่นก็คือ จะเติบโตอย่างปลอดภัยและไปช้ากว่า หรือจะโตอย่างรวดเร็วแต่เสี่ยงที่จะล้มเหลวเมื่อหุ้นที่อาจจะโตหลายเด้งนั้นกลายเป็นลดลงหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เหนือสิ่งอื่นใด ความสำเร็จสูงมากในระยะยาวไม่จำเป็นต้องได้ผลตอบแทนดีผิดปกติในปีใดปีหนึ่งแต่ขึ้นอยู่กับความคงเส้นคงวาของผลตอบแทนที่ดีปีแล้วปีเล่า วอเร็น
บัฟเฟตต์ เองนั้น ไม่เคยมีปีใดที่เขาสามารถทำผลตอบแทนของพอร์ตได้เกินร้อยเปอร์เซ็นต์เลย แต่สถิติระยะยาวของเขาไม่มีคนเทียบได้ และเขาแทบจะไม่ลงทุนในหุ้นตัวเล็กเลย
ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ชอบหุ้นตัวเล็กว่าที่จริงในช่วงแรก ๆ ของการลงทุนนั้น
ส่วนใหญ่ผมมักจะลงทุนในหุ้นตัวเล็ก และทุกวันนี้ผมก็คิดว่าโอกาสในหุ้นตัวเล็กก็ยังดีกว่าหุ้นตัวใหญ่แม้ว่าหุ้น ตัวเล็กสำหรับผมในปัจจุบันอาจจะเป็น “หุ้นขนาดกลาง” มากกว่า อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเหตุผลในการลงทุนในหุ้นตัวเล็กหลายๆ เรื่องนั้นในปัจจุบันมีน้ำหนักน้อยลงไป พูดง่ายๆ หุ้นตัวเล็กไม่ใช่ขวัญใจของผมและผมไม่เน้นหุ้นตัวเล็ก ไม่ใช่แค่เพราะว่าหุ้นตัวเล็กหาซื้อหุ้นยากไม่มีสภาพคล่อง แต่เป็นเพราะว่าหุ้นตัวเล็กนั้นส่วนใหญ่ไม่มีความเข้มแข็งหรือความโดดเด่นพอในแง่ของธุรกิจ ซึ่งทำให้การลงทุนระยะยาวไม่สามารถทำได้ง่าย เช่นเดียวกัน ความเสี่ยงก็มักจะสูงกว่าที่ผมอยากจะรับ
8 ประการของ SUPER STOCK
ข้อแรก Super Stock จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Durable Competitive Advantage (DCA) หรือการได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และความได้เปรียบนี้เป็นเรื่องของโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก โดยแหล่งของความได้เปรียบใหญ่ ๆ อยู่ที่เรื่องของชื่อยี่ห้อที่โดดเด่น และเรื่องของต้นทุนสินค้าที่ต่ำกว่าเนื่องจากกิจการมีขนาดที่เหมาะสมหรือมีขนาดที่ใหญ่กว่าคู่แข่งมากโดยที่คู่แข่งไม่สามารถหรือไม่ประสงค์ที่จะเพิ่มขนาดของกิจการเพื่อให้มีต้นทุนเท่าเทียมได้ เรื่องของ DCA นี้ บ่อยครั้ง นักลงทุนอาจจะวิเคราะห์ผิด เอา “ความได้เปรียบชั่วคราว” มาเป็นความได้เปรียบที่ “ยั่งยืน”
ข้อสอง หุ้นสุดยอดนั้น จะต้องอยู่ในช่วงของ Virtuous Circle หรือ “วงจรแห่งความรุ่งเรือง” นั่นก็คือ ในกระบวนการเติบโตของบริษัทนั้น ทำให้บริษัทได้เปรียบคู่แข่งมากขึ้นไปอีก เช่นต้นทุนลดลงไปอีก ในเวลาเดียวกัน สินค้าและบริการกลับดีขึ้นและช่วยเร่งการเติบโตของยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
ข้อสาม Super Stock นั้นจะต้องมีศักยภาพสูงมาก นั่นคือ ตลาดของสินค้าหรือบริการจะต้องใหญ่มาก และบริษัทอยู่ในสถานะที่จะ “ยึดครอง” ตลาดนั้นได้ พูดง่าย ๆ เราสามารถมองคร่าว ๆ ได้ว่าในอนาคตระยะยาว บริษัทน่าจะสามารถมียอดขายได้ค่อนข้างสูงกว่าปัจจุบันมาก และยอดขายนั้นจะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ข้อสี่ การเติบโตของบริษัทที่ผ่านมานั้นน่าประทับใจเป็นเลขสองหลัก คือมากกว่า 10% เกือบทุกปี โดยที่ยอดขายไม่เคยลดลงเลยแม้ในยามที่เศรษฐกิจซบเซาหรือเกิดวิกฤติ เช่นเดียวกัน กำไรของบริษัทก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอัตราใกล้เคียงกับยอดขายหรือดีกว่า
ข้อห้า บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานดีมาก กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงในหลักเกิน 15-20% ต่อปี โดยที่ไม่ได้ก่อหนี้กับสถาบันการเงินมากนัก หนี้ที่มีอยู่สามารถชดใช้ได้ด้วยกำไรจากการดำเนินงานไม่เกิน 5 ปี
ข้อหก บริษัทมี Cash From Operation หรือเงินสดที่ได้จากการทำธุรกิจดีมาก และเมื่อบริษัทจะขยายงานก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนมากนักเทียบกับยอดขายหรือกำไรที่จะได้รับจากการลงทุนใหม่นั้น
ข้อเจ็ด ผู้บริหารมักจะ “เก่ง” และได้รับการกล่าวขวัญถึงมาก พนักงานของบริษัทมักจะ “ดี” และมี “ความสุข” เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นทั่ว ๆ ไป
ข้อแปด หุ้น Super Stock นั้น มักจะไม่เคยมีราคา “ถูก” ยกเว้นในบางช่วงบางตอนที่บริษัทอาจประสบปัญหาบางอย่างที่ร้ายแรงหรือในช่วงที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ ค่า PE ของ Super Stock ในระดับ 20 เท่า นั้นเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ถือว่าแพงเมื่อเทียบกับศักยภาพของกิจการในอนาคต และนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ Value Investor จำนวนมากหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นสุดยอด เพราะเขาเคยชินกับการลงทุนในหุ้นที่มี PE ไม่เกิน 10 เท่า
ข้อสอง หุ้นสุดยอดนั้น จะต้องอยู่ในช่วงของ Virtuous Circle หรือ “วงจรแห่งความรุ่งเรือง” นั่นก็คือ ในกระบวนการเติบโตของบริษัทนั้น ทำให้บริษัทได้เปรียบคู่แข่งมากขึ้นไปอีก เช่นต้นทุนลดลงไปอีก ในเวลาเดียวกัน สินค้าและบริการกลับดีขึ้นและช่วยเร่งการเติบโตของยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
ข้อสาม Super Stock นั้นจะต้องมีศักยภาพสูงมาก นั่นคือ ตลาดของสินค้าหรือบริการจะต้องใหญ่มาก และบริษัทอยู่ในสถานะที่จะ “ยึดครอง” ตลาดนั้นได้ พูดง่าย ๆ เราสามารถมองคร่าว ๆ ได้ว่าในอนาคตระยะยาว บริษัทน่าจะสามารถมียอดขายได้ค่อนข้างสูงกว่าปัจจุบันมาก และยอดขายนั้นจะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ข้อสี่ การเติบโตของบริษัทที่ผ่านมานั้นน่าประทับใจเป็นเลขสองหลัก คือมากกว่า 10% เกือบทุกปี โดยที่ยอดขายไม่เคยลดลงเลยแม้ในยามที่เศรษฐกิจซบเซาหรือเกิดวิกฤติ เช่นเดียวกัน กำไรของบริษัทก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอัตราใกล้เคียงกับยอดขายหรือดีกว่า
ข้อห้า บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานดีมาก กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงในหลักเกิน 15-20% ต่อปี โดยที่ไม่ได้ก่อหนี้กับสถาบันการเงินมากนัก หนี้ที่มีอยู่สามารถชดใช้ได้ด้วยกำไรจากการดำเนินงานไม่เกิน 5 ปี
ข้อหก บริษัทมี Cash From Operation หรือเงินสดที่ได้จากการทำธุรกิจดีมาก และเมื่อบริษัทจะขยายงานก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนมากนักเทียบกับยอดขายหรือกำไรที่จะได้รับจากการลงทุนใหม่นั้น
ข้อเจ็ด ผู้บริหารมักจะ “เก่ง” และได้รับการกล่าวขวัญถึงมาก พนักงานของบริษัทมักจะ “ดี” และมี “ความสุข” เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นทั่ว ๆ ไป
ข้อแปด หุ้น Super Stock นั้น มักจะไม่เคยมีราคา “ถูก” ยกเว้นในบางช่วงบางตอนที่บริษัทอาจประสบปัญหาบางอย่างที่ร้ายแรงหรือในช่วงที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ ค่า PE ของ Super Stock ในระดับ 20 เท่า นั้นเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ถือว่าแพงเมื่อเทียบกับศักยภาพของกิจการในอนาคต และนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ Value Investor จำนวนมากหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นสุดยอด เพราะเขาเคยชินกับการลงทุนในหุ้นที่มี PE ไม่เกิน 10 เท่า
วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555
TMD บริษัท อุตสาหกรรมถังโลหะไทย จำกัด (มหาชน)
บริษัท อุตสาหกรรมถังโลหะไทย จำกัด ได้จดทะเบียนก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2501 ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายถังโลหะขนาด 200 ลิตร สำหรับบรรจุน้ำมันหล่อลื่น เคมีภัณฑ์ และสินค้าเกษตร การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาที่สำคัญในส่วนที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและการบริหารงานของบริษัทมีดังต่อไปนี้
ภาพรวมการประกอบธุรกิจของกลุ่มบริษัท
ธุรกิจของบริษัทและบริษัทย่อยสามารถแบ่งกลุ่มตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ได้ดังนี้
1.อุตสาหกรรมการผลิตบรรจุภัณฑ์
ก.ผลิตภัณฑ์ถังโลหะ
ข.ผลิตภัณฑ์พลาสติก แบ่งย่อยได้อีกเป็น 3 ประเภท คือ
-ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัตถุดิบ PET (Polyethylene Terephthalate)
PET เป็นไฟเบอร์สังเคราะห์ที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ รวมทั้งสิ่งทอซึ่งมักถูกเรียกเป็นชื่อย่อว่าโพลีเอสเทอร์ เนื่องจาก PET เป็นพลาสติกที่แก๊สซึมผ่านได้ยากกว่าพลาสติกที่มีราคาถูก (พลาสติกซึ่งไม่ทนต่อแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีความเป็นกรด เช่น น้ำผลไม้) นอกจากนี้ยังมีน้ำหนักเบา และทนต่อแรงกระแทกได้ดี ผู้ผลิตจึงนิยมใช้ PET ในการบรรจุน้ำอัดลม น้ำดื่ม น้ำผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และผลิตเป็นฟิล์มพลาสติก หรือภาชนะบรรจุอาหารสำหรับไมโครเวฟ โดยปกติภาชนะพลาสติกจะมีสัญลักษณ์ที่เป็นตัวเลขระบุชนิดของพลาสติกอยู่ที่ ก้นขวดหรือบนภาชนะ เพื่อความสะดวกสำหรับการจำแนกชนิดของพลาสติกเพื่อนำกลับไปเวียนทำใหม่ (recycle) โดยภาชนะที่ทำจาก PET จะได้รับสัญลักษณ์เป็นเลข 1 ซึ่งหมายถึง Resin Identification Code 1
-ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัตถุดิบ PP(Polypropylene)
PP เป็นพลาสติกที่ไอน้ำซึมผ่านได้เล็กน้อย แข็งกว่าโพลิเอทิลีนทนต่อสารไขมันและความร้อนสูงใช้ทำแผ่นพลาสติถุงพลาสติกบรรจุอาหารที่ทนร้อน หลอดดูดพลาสติก เป็นต้น
-ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติก
2.อาคารสำนักงานให้เช่า ได้แก่ อาคารเลครัชดา ออฟฟิศ คอมเพล็กซ์
สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทย่อย
รายงานการตรวจสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผู้สอบบัญชีได้ให้ความเห็นในรายงานการตรวจสอบแบบไม่มีเงื่อนไข
คำอธิบายและการวิเคราะห์ฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน
(1)ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
บริษัท อุตสาหกรรมถังโลหะไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจากการประกอบธุรกิจรวม 197.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.43 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 36.17 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2553 ซึ่งผลกำไรจากการดำเนินงานดังกล่าวได้รวมผลกระทบจากการที่บริษัทและบริษัทย่อยได้ปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่องที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ โดยการทบทวนอายุการใช้งานของสินทรัพย์ตามมาตรฐานการบัญชีที่กำหนด มีผลทำให้ค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ลดลง 35.53 ล้านบาท และบริษัทย่อยของบริษัทได้บันทึกผลขาดทุนจากเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่จำนวน 13.95 ล้านบาท หากปรับปรุงรายการดังกล่าวแล้ว บริษัทและบริษัทย่อยจะมีกำไรสุทธิจากการประกอบธุรกิจเท่ากับ 175.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 21.27 เมื่อเทียบกับปีก่อน (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 24 และข้อ 30)
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายจำนวน 1,667.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 97.93 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 6.24 และมีรายได้ค่าเช่าค่าบริการจำนวน 51.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 4.91 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.55 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้อื่นจำนวน 20.03 ล้านบาท ประกอบด้วยดอกเบี้ยรับ 8.22 ล้านบาท รายได้จากเงินชดเชยค่าภาษีอากร 0.28 ล้านบาท เงินปันผลรับ 3.70 ล้านบาท กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุน 2.77 ล้านบาท และรายได้อื่น 5.06 ล้านบาท ต้นทุนขายต่อรายได้จากการขายของบริษัทและบริษัทย่อยลดลงจากร้อยละ 83.70 ในปี 2553 เป็นร้อยละ 82.61 ในปี 2554 ลดลงคิดเป็นร้อยละ 1.09 ต้นทุนค่าเช่าและค่าบริการลดลง 12.47 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเสื่อมราคาของห้องชุดให้เช่าในอาคารเลครัชดาลดลงจำนวน 12.40 ล้านบาท จากการทบทวนอายุการใช้งานของทรัพย์สินตามมาตรฐานการบัญชีที่ใช้บังคับใหม่ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 4.40 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.11 ค่าตอบแทนผู้บริหารเพิ่มขึ้น 1.27 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.27 มีดอกเบี้ยจ่ายลดลงเล็กน้อย และมีภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง 7.50 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 30.85 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน เนื่องจากบริษัทย่อยของบริษัท 2 แห่ง ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรจากการประกอบการ มีกำหนดระยะเวลา 8 ปี มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม และเดือนกรกฎาคม 2554 ตามลำดับ (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อ 26)
สำหรับกิจกรรมจัดหาเงิน บริษัทและบริษัทย่อยจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น 74.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1.25 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน
โครงสร้างเงินทุนของบริษัทและบริษัทย่อยอยู่ในเกณฑ์ที่ดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นเท่ากับ 0.09 เท่า เท่ากับปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับกิจการประเภทเดียวกัน บริษัทและบริษัทย่อยไม่มีนโยบายที่จะก่อหนี้เกินกว่าความจำเป็นของธุรกิจ ในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจาก 1,511.59 ล้านบาท เป็น 1,634.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 122.60 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.11 จากการเพิ่มขึ้นของกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรจาก 781.08 ล้านบาท เป็น 896.01 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.71 อันสืบเนื่องมาจากกำไรที่มาจากผลประกอบการของบริษัทและบริษัทย่อย
สำหรับหนี้สิน บริษัทและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจาก 136.05 ล้านบาท เป็น 152.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.56 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.17 โดยเจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่นเพิ่มขึ้น 2.96 ล้านบาท หนี้สินตามสัญญาเช่าการเงินเพิ่มขึ้น 1.57 ล้านบาท ภาระผูกพันผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น 11.94 ล้านบาท บริษัทและบริษัทย่อยไม่มีหนี้สินกับสถาบันการเงิน บริษัทย่อยมีเงินให้กู้ยืมระยะยาวจากบุคคลและกิจการที่เกี่ยวข้องจำนวน 10 ล้านบาท (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 6.8 ข้อ 16 ถึงข้อ 18) โดยมีอัตราดอกเบี้ย หลักประกัน และเงื่อนไขของหนี้สินเป็นไปตามปกติทั่วไป บริษัทและบริษัทย่อยไม่มีภาระหนี้เงินกู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศ ยกเว้นภาระ L/C ในการซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ ตามหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อ 29
ค่าตอบแทนจากการสอบบัญชีและตรวจสอบระบบควบคุมภายใน
ค่าตอบแทนจากการสอบบัญชี
บริษัทและบริษัทย่อยทุกบริษัทใช้ผู้สอบบัญชีจากสำนักงานเดียวกัน ในปีที่ผ่านมาจ่ายค่าตอบแทนการสอบบัญชีให้แก่สำนักงานสอบบัญชีที่ผู้สอบบัญชีสังกัดเป็นจำนวนเงินรวม 1,835,000 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 90,000 บาท
ค่าบริการอื่น
บริษัทและบริษัทย่อยจ่ายค่าตอบแทนการตรวจสอบระบบการควบคุมภายในให้แก่สำนักงานผู้ตรวจสอบในรอบปีบัญชีที่ผ่านมาเป็นจำนวนเงินรวม 300,000 บาท เท่ากับปีก่อน
ภาพรวมการประกอบธุรกิจของกลุ่มบริษัท
ธุรกิจของบริษัทและบริษัทย่อยสามารถแบ่งกลุ่มตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ได้ดังนี้
1.อุตสาหกรรมการผลิตบรรจุภัณฑ์
ก.ผลิตภัณฑ์ถังโลหะ
ข.ผลิตภัณฑ์พลาสติก แบ่งย่อยได้อีกเป็น 3 ประเภท คือ
-ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัตถุดิบ PET (Polyethylene Terephthalate)
PET เป็นไฟเบอร์สังเคราะห์ที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ รวมทั้งสิ่งทอซึ่งมักถูกเรียกเป็นชื่อย่อว่าโพลีเอสเทอร์ เนื่องจาก PET เป็นพลาสติกที่แก๊สซึมผ่านได้ยากกว่าพลาสติกที่มีราคาถูก (พลาสติกซึ่งไม่ทนต่อแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีความเป็นกรด เช่น น้ำผลไม้) นอกจากนี้ยังมีน้ำหนักเบา และทนต่อแรงกระแทกได้ดี ผู้ผลิตจึงนิยมใช้ PET ในการบรรจุน้ำอัดลม น้ำดื่ม น้ำผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และผลิตเป็นฟิล์มพลาสติก หรือภาชนะบรรจุอาหารสำหรับไมโครเวฟ โดยปกติภาชนะพลาสติกจะมีสัญลักษณ์ที่เป็นตัวเลขระบุชนิดของพลาสติกอยู่ที่ ก้นขวดหรือบนภาชนะ เพื่อความสะดวกสำหรับการจำแนกชนิดของพลาสติกเพื่อนำกลับไปเวียนทำใหม่ (recycle) โดยภาชนะที่ทำจาก PET จะได้รับสัญลักษณ์เป็นเลข 1 ซึ่งหมายถึง Resin Identification Code 1
-ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัตถุดิบ PP(Polypropylene)
PP เป็นพลาสติกที่ไอน้ำซึมผ่านได้เล็กน้อย แข็งกว่าโพลิเอทิลีนทนต่อสารไขมันและความร้อนสูงใช้ทำแผ่นพลาสติถุงพลาสติกบรรจุอาหารที่ทนร้อน หลอดดูดพลาสติก เป็นต้น
-ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติก
2.อาคารสำนักงานให้เช่า ได้แก่ อาคารเลครัชดา ออฟฟิศ คอมเพล็กซ์
สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทย่อย
โครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ
หลักทรัพย์ของ TMD
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 บริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 150 ล้านบาท เรียกชำระแล้วทั้งสิ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 15,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ราคาหุ้นละ 10 บาท
ผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรก
(สังเกตุได้ว่า นามสกุล จรัญวาศน์ รวมกันประมาณ 55 % ดูเจ้าของหุ้นจะรักหุ้นตัวนี้มากนะครับ)
นโยบายการจ่ายเงินปันผล
บริษัทและบริษัทย่อยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะบริษัทไม่รวมรายการพิเศษในแต่ละปี โดยจะต้องไม่มีผลขาดทุนสะสม ในปี 2554 บริษัทจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 4.75 บาท คิดเป็นร้อยละ 67.19 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะบริษัท
ฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน <----------- อันนี้สำคัญมาก ๆ ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนบ.
งบการเงิน
รายงานการตรวจสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผู้สอบบัญชีได้ให้ความเห็นในรายงานการตรวจสอบแบบไม่มีเงื่อนไข
คำอธิบายและการวิเคราะห์ฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน
(1)ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
บริษัท อุตสาหกรรมถังโลหะไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจากการประกอบธุรกิจรวม 197.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.43 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 36.17 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2553 ซึ่งผลกำไรจากการดำเนินงานดังกล่าวได้รวมผลกระทบจากการที่บริษัทและบริษัทย่อยได้ปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) เรื่องที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ โดยการทบทวนอายุการใช้งานของสินทรัพย์ตามมาตรฐานการบัญชีที่กำหนด มีผลทำให้ค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ลดลง 35.53 ล้านบาท และบริษัทย่อยของบริษัทได้บันทึกผลขาดทุนจากเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่จำนวน 13.95 ล้านบาท หากปรับปรุงรายการดังกล่าวแล้ว บริษัทและบริษัทย่อยจะมีกำไรสุทธิจากการประกอบธุรกิจเท่ากับ 175.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 21.27 เมื่อเทียบกับปีก่อน (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 24 และข้อ 30)
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายจำนวน 1,667.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 97.93 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 6.24 และมีรายได้ค่าเช่าค่าบริการจำนวน 51.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 4.91 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.55 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้อื่นจำนวน 20.03 ล้านบาท ประกอบด้วยดอกเบี้ยรับ 8.22 ล้านบาท รายได้จากเงินชดเชยค่าภาษีอากร 0.28 ล้านบาท เงินปันผลรับ 3.70 ล้านบาท กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุน 2.77 ล้านบาท และรายได้อื่น 5.06 ล้านบาท ต้นทุนขายต่อรายได้จากการขายของบริษัทและบริษัทย่อยลดลงจากร้อยละ 83.70 ในปี 2553 เป็นร้อยละ 82.61 ในปี 2554 ลดลงคิดเป็นร้อยละ 1.09 ต้นทุนค่าเช่าและค่าบริการลดลง 12.47 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเสื่อมราคาของห้องชุดให้เช่าในอาคารเลครัชดาลดลงจำนวน 12.40 ล้านบาท จากการทบทวนอายุการใช้งานของทรัพย์สินตามมาตรฐานการบัญชีที่ใช้บังคับใหม่ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 4.40 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.11 ค่าตอบแทนผู้บริหารเพิ่มขึ้น 1.27 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.27 มีดอกเบี้ยจ่ายลดลงเล็กน้อย และมีภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง 7.50 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 30.85 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน เนื่องจากบริษัทย่อยของบริษัท 2 แห่ง ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรจากการประกอบการ มีกำหนดระยะเวลา 8 ปี มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม และเดือนกรกฎาคม 2554 ตามลำดับ (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อ 26)
ในปีที่ผ่านมา บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายสินค้าโดยรวมเพิ่มขึ้นโดยการจำหน่ายถังโลหะมีรายได้ 1,001.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.95 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 14.25 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีรายได้ 680.77 ล้านบาท ลดลง 60.09 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.11 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน
สำหรับผลิตภัณฑ์ถังโลหะ บริษัทและบริษัทย่อยสามารถจำหน่ายสินค้าได้เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณสินค้าและราคาที่จำหน่ายได้ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2553 ซึ่งทำให้รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.25 ผลิตภัณฑ์พลาสติก บริษัทย่อยสามารถขายสินค้าได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2554 จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้บริษัทย่อยที่จังหวัดปทุมธานีได้รับผลกระทบในช่วงเดือนตุลาคม 2554 เป็นผลทำให้ต้องหยุดการผลิตลงชั่วคราว และเริ่มดำเนินการผลิตและจำหน่ายสินค้าได้ใหม่ในเดือนธันวาคม 2554 เป็นผลทำให้รายได้จากผลิตภัณฑ์พลาสติกลดลง ราคาวัตถุดิบหลักของทั้งสองผลิตภัณฑ์มีราคาผันผวนมากกว่าปีก่อน โดยเฉพาะเม็ดพลาสติกมีการปรับราคาขึ้นลงอย่างรวดเร็ว แต่จากการติดตามการเคลื่อนไหวของราคาวัตถุดิบอย่างใกล้ชิด และการพยายามจัดการบริหารงานให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ต้นทุนขายสินค้าของบริษัทและบริษัทย่อยลดลง
บริษัทและบริษัทย่อยไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณธุรกรรมมีน้อย ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 27.1 และข้อ 29
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้ทั้งสิ้น 1,739.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 จำนวน 110.32 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.77 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้หลักจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์คิดเป็นร้อยละ 95.89 ของรายได้รวม ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 0.48 ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากค่าเช่าค่าบริการคิดเป็นร้อยละ 2.96 และรายได้อื่นคิดเป็นร้อยละ 1.15
อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17.09 ในปี 2553 เป็นร้อยละ 19.06 ในปี 2554 อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.67 เป็นร้อยละ 11.89 อัตราส่วนกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.90 เป็นร้อยละ 11.35 ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนขายสินค้าของบริษัทและบริษัทย่อยปรับตัวลดลง จึงทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เป็นผลมาจากบริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น มีต้นทุนสินค้าลดลง และมีค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ลดลงจากการปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีที่กล่าวถึงแล้วข้างต้น
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้น 36.36 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.66 เงินลงทุนเผื่อขายเพิ่มขึ้น 15.25 ล้านบาท เงินลงทุนระยะยาวเพิ่มขึ้น 8.49 ล้านบาท ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ เพิ่มขึ้น 20.42 ล้านบาท จากการซื้อที่ดินเพื่อตั้งโรงงานที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก จำนวน 12.00 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ 44.15 ล้านบาท และลดลงจากการตัดค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินประจำปีจำนวน 42.08 ล้านบาท
คุณภาพของสินทรัพย์
สำหรับผลิตภัณฑ์ถังโลหะ บริษัทและบริษัทย่อยสามารถจำหน่ายสินค้าได้เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณสินค้าและราคาที่จำหน่ายได้ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2553 ซึ่งทำให้รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.25 ผลิตภัณฑ์พลาสติก บริษัทย่อยสามารถขายสินค้าได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2554 จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้บริษัทย่อยที่จังหวัดปทุมธานีได้รับผลกระทบในช่วงเดือนตุลาคม 2554 เป็นผลทำให้ต้องหยุดการผลิตลงชั่วคราว และเริ่มดำเนินการผลิตและจำหน่ายสินค้าได้ใหม่ในเดือนธันวาคม 2554 เป็นผลทำให้รายได้จากผลิตภัณฑ์พลาสติกลดลง ราคาวัตถุดิบหลักของทั้งสองผลิตภัณฑ์มีราคาผันผวนมากกว่าปีก่อน โดยเฉพาะเม็ดพลาสติกมีการปรับราคาขึ้นลงอย่างรวดเร็ว แต่จากการติดตามการเคลื่อนไหวของราคาวัตถุดิบอย่างใกล้ชิด และการพยายามจัดการบริหารงานให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ต้นทุนขายสินค้าของบริษัทและบริษัทย่อยลดลง
บริษัทและบริษัทย่อยไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณธุรกรรมมีน้อย ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 27.1 และข้อ 29
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้ทั้งสิ้น 1,739.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 จำนวน 110.32 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.77 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้หลักจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์คิดเป็นร้อยละ 95.89 ของรายได้รวม ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 0.48 ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากค่าเช่าค่าบริการคิดเป็นร้อยละ 2.96 และรายได้อื่นคิดเป็นร้อยละ 1.15
อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17.09 ในปี 2553 เป็นร้อยละ 19.06 ในปี 2554 อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.67 เป็นร้อยละ 11.89 อัตราส่วนกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.90 เป็นร้อยละ 11.35 ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนขายสินค้าของบริษัทและบริษัทย่อยปรับตัวลดลง จึงทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เป็นผลมาจากบริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น มีต้นทุนสินค้าลดลง และมีค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ลดลงจากการปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีที่กล่าวถึงแล้วข้างต้น
สำหรับอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9.55 เป็นร้อยละ 12.55 ในปี 2554 เนื่องจากกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นและผลของการปรับปรุงตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 40 เรื่องอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง 156.02 ล้านบาท ตามหมายเหตุข้อ 4 บริษัทโดยคณะกรรมการบริษัทมีมติให้จ่ายเงินปันผลจากการดำเนินงานงวดปี 2554 คือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2554 ในอัตราหุ้นละ 6.00 บาท รวมเป็นเงิน 90.00 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52.94 ซึ่งนโยบายการจ่ายเงินปันผลจะจ่ายไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะบริษัท คณะกรรมการบริษัทจะได้นำเสนอให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2555 ในวันที่ 24 เมษายน 2555 นี้
ฐานะการเงิน
สินทรัพย์
สินทรัพย์หมุนเวียนเพิ่มขึ้น 102.80 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.86 โดยเงินลงทุนชั่วคราวเพิ่มขึ้น 79.15 ล้านบาท ลูกหนี้การค้าสุทธิเพิ่มขึ้น 29.08 ล้านบาท เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลง 18.20 ล้านบาท สินค้าคงเหลือลดลง 19.73 ล้านบาท และสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น 32.50 ล้านบาท
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้น 36.36 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.66 เงินลงทุนเผื่อขายเพิ่มขึ้น 15.25 ล้านบาท เงินลงทุนระยะยาวเพิ่มขึ้น 8.49 ล้านบาท ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ เพิ่มขึ้น 20.42 ล้านบาท จากการซื้อที่ดินเพื่อตั้งโรงงานที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก จำนวน 12.00 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ 44.15 ล้านบาท และลดลงจากการตัดค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินประจำปีจำนวน 42.08 ล้านบาท
คุณภาพของสินทรัพย์
บริษัทและบริษัทย่อยเห็นว่าสินทรัพย์ที่มีอยู่ได้แสดงมูลค่าที่แท้จริงและไม่มีรายการใดที่มีข้อบ่งชี้ว่าจะทำให้ด้อยค่าหรือไม่ได้รับคืน ซึ่งหากมีทางบริษัทและบริษัทย่อยก็ได้ตั้งสำรองหรือค่าเผื่อการลดค่าไว้แล้ว ตามหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อ 5.4, ข้อ 5.10, ข้อ 7 ถึง ข้อ 15 จากตารางอัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการดำเนินงานจะเห็นได้ว่าในปี 2554 บริษัทและบริษัทย่อยมีอัตราผลตอบแทนจากทรัพย์สินและอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้นจากปีก่อน นอกจากผลกำไรสุทธิของบริษัทและบริษัทย่อยที่เพิ่มขึ้นแล้ว ผลของการปรับปรุงตามมาตรฐานการบัญชีที่ใช้บังคับใหม่ในปี 2554 ทำให้สินทรัพย์ของบริษัทและบริษัทย่อยลดลง มีผลทำให้อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยมีค่าเฉลี่ยที่ดีขึ้น สำหรับอัตราการหมุนของสินทรัพย์มีอัตราส่วนใกล้เคียงกับปีก่อน
ลูกหนี้การค้าสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 311.79 ล้านบาท เป็น 390.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.15 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25.39 ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 58 วัน เป็น 59 วัน โดยนโยบายการให้สินเชื่ออยู่ระหว่าง 30-90 วัน ลูกหนี้ค้างชำระที่เกินกว่า 90 วัน ใกล้เคียงกับปี 2553 มีจำนวนเท่ากับ 4.92 ล้านบาท บริษัทและบริษัทย่อยได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญไว้จำนวน 1.83 ล้านบาท (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อ 9)
สภาพคล่อง
กระแสเงินสด
จำนวนและสัดส่วนของกระแสเงินสดจากกิจกรรมต่าง ๆ
ในปี 2554 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรที่เป็นตัวเงินจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 257.60 ล้านบาท เป็น 262.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.31 ล้านบาท เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานเพิ่มขึ้นจาก 186.16 ล้านบาท เป็น 240.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.61 ล้านบาท จากการที่บริษัทและบริษัทย่อยมีสต็อกสินค้าและวัตถุดิบคงเหลือลดลงสุทธิ 19.73 ล้านบาท เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่นลดลง 3.04 ล้านบาท และภาษีเงินได้ลดลง 14.66 ล้านบาท
กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน มีการลงทุนเพิ่ม 183.46 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนเพิ่มในเงินลงทุนชั่วคราว และเงินลงทุนระยะยาวจำนวน 97.60 ล้านบาท ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีเงินลงทุนชั่วคราวและเงินลงทุนระยะยาวจำนวน 390.94 ล้านบาท และ 117.08 ล้านบาท ตามลำดับ (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 8, ข้อ 11 และข้อ 12) เงินสดจ่ายเพื่อซื้อสินทรัพย์ถาวรและเงินมัดจำสินทรัพย์จำนวน 99.04 ล้านบาท จากการซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ทดแทนเครื่องจักรเก่าสำหรับกิจกรรมจัดหาเงิน บริษัทและบริษัทย่อยจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น 74.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1.25 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน
จากอัตราส่วนสภาพคล่องที่แสดงไว้ แสดงให้เห็นว่าสภาพคล่องของบริษัทและบริษัทย่อยมีอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกับปี 2553 ซึ่งถือเป็นอัตราส่วนที่ดีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท และ CASH CYCLE ที่มีระยะเวลาลดลงเมื่อเทียบกับปี 2553 ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โครงสร้างเงินทุน โครงสร้างเงินทุนของบริษัทและบริษัทย่อยอยู่ในเกณฑ์ที่ดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นเท่ากับ 0.09 เท่า เท่ากับปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับกิจการประเภทเดียวกัน บริษัทและบริษัทย่อยไม่มีนโยบายที่จะก่อหนี้เกินกว่าความจำเป็นของธุรกิจ ในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจาก 1,511.59 ล้านบาท เป็น 1,634.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 122.60 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.11 จากการเพิ่มขึ้นของกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรจาก 781.08 ล้านบาท เป็น 896.01 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.71 อันสืบเนื่องมาจากกำไรที่มาจากผลประกอบการของบริษัทและบริษัทย่อย
สำหรับหนี้สิน บริษัทและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นจาก 136.05 ล้านบาท เป็น 152.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.56 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.17 โดยเจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่นเพิ่มขึ้น 2.96 ล้านบาท หนี้สินตามสัญญาเช่าการเงินเพิ่มขึ้น 1.57 ล้านบาท ภาระผูกพันผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น 11.94 ล้านบาท บริษัทและบริษัทย่อยไม่มีหนี้สินกับสถาบันการเงิน บริษัทย่อยมีเงินให้กู้ยืมระยะยาวจากบุคคลและกิจการที่เกี่ยวข้องจำนวน 10 ล้านบาท (ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 6.8 ข้อ 16 ถึงข้อ 18) โดยมีอัตราดอกเบี้ย หลักประกัน และเงื่อนไขของหนี้สินเป็นไปตามปกติทั่วไป บริษัทและบริษัทย่อยไม่มีภาระหนี้เงินกู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศ ยกเว้นภาระ L/C ในการซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ ตามหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อ 29
ค่าตอบแทนจากการสอบบัญชีและตรวจสอบระบบควบคุมภายใน
ค่าตอบแทนจากการสอบบัญชี
บริษัทและบริษัทย่อยทุกบริษัทใช้ผู้สอบบัญชีจากสำนักงานเดียวกัน ในปีที่ผ่านมาจ่ายค่าตอบแทนการสอบบัญชีให้แก่สำนักงานสอบบัญชีที่ผู้สอบบัญชีสังกัดเป็นจำนวนเงินรวม 1,835,000 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 90,000 บาท
ค่าบริการอื่น
บริษัทและบริษัทย่อยจ่ายค่าตอบแทนการตรวจสอบระบบการควบคุมภายในให้แก่สำนักงานผู้ตรวจสอบในรอบปีบัญชีที่ผ่านมาเป็นจำนวนเงินรวม 300,000 บาท เท่ากับปีก่อน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)