จากหนังสือของ The Intelligent Investor ของเบนจามิน เกรแฮม ที่เรียกได้ว่าเป็นกูรูด้าน Value Investment ท่านหนึ่ง ในหนังสือบทหนึ่งได้กล่าวถืงการเลือกหุ้นสำหรับนักลงทุนที่เรียกว่า Defensive มีใจความสำคัญ และหลักการที่สามารถสรุปได้เป็นหัวข้อดังนี้ครับ
1.Adequate Size of The Enterprise คือขนาดของธุรกิจต้องใหญ่พอ ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ได้บอกว่าขนาดที่เหมาะสมก็คือ มียอดขาย 100 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีสำหรับบริษัทที่ผลิตแล้วขาย และมีสินทรัพย์รวมอย่างน้อย 50 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับ “Public Utility” หรือกิจการที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภค
2.งบการเงินที่ดี ในที่นี้ก็ยกตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมผลิตทั่วไป ควรมีสินทรัพย์หมุนเวียนเป็น 2 เท่าของหนี้สินหมุนเวียน หนี้สินระยะยาว (long-term debt) ไม่ควรมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน ในกิจการสาธารณูปโภค หรือหุ้นโครงสร้างพื้นฐาน หนี้สินไม่ควรมากกว่า 2เท่าของส่วนของผู้ถือหุ้น(ณ มูลค่าตามบัญชี)
3.มีรายได้และกำไรที่ไม่ผันผวน หรือมีเสถียรภาพ ย้อนหลัง 10 ปี
4.มีการจ่ายปันผลต่อเนื่อง อย่างน้อย 20 ปีย้อนหลัง
5.อัตราการเจริญเติบโตของกำไร อย่างน้อย 1 ใน3 สำหรับ EPS ใน 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งใช้ข้อมูลเฉลี่ย 3 ปี
6. ราคาหุ้นในปัจจุบัน ไม่ควรมากกว่า 15 เท่าของ ค่าเฉลี่ยของ EPS ย้อนหลัง 3 ปี
7.ราคาไม่ควรมากกว่า 1.5 เท่าของ Book Value ล่าสุด
ในแง่ของเมืองไทยแล้วถ้าจะหาหุ้นที่ดีที่มีคุณสมบัติครบทั้ง 7 ข้อ หรือ 4 จาก 7 ข้อได้ก็นับว่ายากอยู่นะครับ สำหรับข้อ 1 นั้นจะบอกว่าไม่มีเลยก็คงบอกเต็มปากเต็มคำไม่ได้ เพราะว่าถ้าดูเป็นตัวเลขและหน่วยเงินของสกุลเงินในประเทศไทยกับสหรัฐนั้นก็คงต่างกันครับ แต่ถ้าลองย่อส่วนหรือปรับสัดส่วนลงมาให้เหมาะกับ size ของประเทศไทยก็น่าจะได้อยู่ เครื่องวัดตัวนึงที่น่าจะเอามาใช้ได้ก็คือ เอาขนาดของธุรกิจที่ว่าเล็กหรือใหญ่นั้น เทียบกับ GDP ของประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องชี้ขนาดของเศรษฐกิจเป็นตัวหาร แล้วเราก็จะได้ขนาดของธุรกิจที่เหมาะสมที่คุณเบนจามิน เกรแฮม กล่าวไว้
ส่วนข้อ 2 นั้นบริษัทหลายบริษัทก็มีช่วงเวลาที่ปลอดหนี้ระยะยาวเลยก็มี ซึ่งโดยมากเป็นกิจการที่รับเงินสด อำนาจต่อรองกับ supplier มีสูง ในประเทศไทยที่เห็นได้บ่อย ๆ ก็คือ กลุ่มค้าปลีก หรือแม้กระทั่งปริษัทที่ค่อนไปในทางจะอิ่มตัวแล้ว หรือบริษัทที่ใช้สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเป็นตัวหารายได้ เช่นโรงแรมบางแห่งที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง อัตราการเข้าพักมีสูง และไม่มีการขยายสาขาในช่วงระยะเวลาที่เราพิจารณา อีก 5 ข้อที่เหลือ ไว้ต่องวดหน้านะครับ
ต่อจากคราวที่แล้วนะครับ เหลืออีก 5 ข้อครับ ข้อ 3 กับข้อ 4 นี่ เราก็คงจะหาหุ้นที่เข้าคุณสมบัติตามที่บอก ยากพอๆ กันครับ เพราะอดีตหรือสตอรี่ของหุ้นไทยเราพึ่งมีมา 30 กว่าปีเองครับ สำหรับข้อ 3 อาจจะพอไหว ถ้านับย้อนไป 10 ปี ก็ประมาณปี 2541 -2542 ซึ่งเป็นช่วงตั้งแต่หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง หลายๆ บริษัทตายจากไป บางบริษัทที่รอดมาได้ก็อยู่ในช่วงเริ่มฟื้นกิจการ เหมือนคอมพิวเตอร์ที่รประกอบใหม่ ฮาร์ดแวร์ตัวใหม่ อยู่บนเมนบอร์ดเดิมที่ยังพอรับกับอุปกรณ์ใหม่ๆ ได้ เหมือนทะเลหรือบ้านเรือนที่ต้องซ่อมแซมหลังจากคลื่นยักษ์ซึนามิพึ่งผ่านไป คงจะมีน้อยบริษัทจริงๆ ที่จะมีชีวิตรอดได้อย่างแข็งแกร่ง แต่ถึงจะมีกำไรหรือยอดยายไม่ผันผวนก็จริงๆ แต่ก็อยู่ในระดับไม่มากนัก อาจจะไม่หวานหอมพอสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง ยิ่งเรื่องเงินปันผลในข้อ 4 นั้นยิ่งหายากมากๆ เพราะว่ามันเป็นผลต่อเนื่องจากกำไรและยอดขายที่ดีนั่นเอง ส่วนข้อ 5-7 นั้น ก็สุดแล้วแต่นักลงทุนแต่ละท่านจะเล็งตัวไหนไว้น่ะครับ ก็ลองเอาตัวเลขหรือหลักการของ เบนจามิน เกรแฮม มาคำนวณเอากันเอง และก็ปรับใช้ให้เข้าสภาพวะความเป็นจริงของประเทศไทยก่อนเลือกลงทุนให้เหมาะสมน่ะครับ อย่าลืมว่าเรื่องราวของตลาดหุ้นไทยอาจจะยังน้อยนิดเมื่อเทียบกับต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกา ดังนั้นจะนำวิธีเค้ามาตรงๆ สงสัยคงจะสำเร็จยากอยู่ไม่น้อย การเล่นหุ้นต้องใช้กลยุทธ์ นั่นก็คือการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อม (ตลาด) ให้กลมกลืน สุดท้ายนี้มีข้อคิดเห็นอะไร หรือว่าผมเขียนอะไรผิดพลาดไป ก็คอมเมนท์กันได้เลยครับ
รายชื่อหุ้นที่จ่ายปันผลเงินสด 15 ปีติดต่อกันระหว่างปี 2539-2553 มีทั้งหมด 48 บริษัท ดังนี้ ALUCON, APRINT, AYUD, BEC, BJC, BKI, CHARAN, CM, CPL, CSR, DELTA, EASTW, FE, GRAMMY, ICC, KWC, KYE, LST, LTX, MAKRO, MATI, MBK, METCO, MFC, NTV, OHTL, P-FCB, PR, S&P, SAUCE, SHANG, SPC, SST, SUC, TBSP, TC, TF, THIP, THRE, TIP, TIW, TNL, TTTM, TUF, TVO, UPF, UPOIC และ WACOAL
ตอบลบ