จะรู้สึกว่าเป็นหุ้นที่ไม่น่าสนใจ จริงๆแล้ว NET MARGIN ต่ำ ถ้าเพิ่ม MARGIN ได้นิดเดียว กำไรโต
ระเบิดเลย อย่างบริษัทขายส่งคอมพิวเตอร์ที่มีมาร์ จิ้นบางมากแค่ 1% เศษๆเมื่อหลายปีก่อน แต่มีการ
บริหารจัดการที่ดี มาร์จิ้นก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นในรอบหลายปีก็ขึ้นมาหลายเท่ามาก ผมคิดว่าหุ้นหลาย
ตัวธรรมชาติของธุรกิจจะมีมาร์จิ้นที่ค่อนข้างต่ำ แต่ถ้ามีการบริหารจัดการที่ดี ก็สามารถเป็นหุ้น
GROWTH ที่เติบโตต่อเนื่องได้ กลับกันหุ้นบางตัวที่ MARGIN สูงแบบผิดปกติเข้าข่าย Too Good to Be
True ธุรกิจที่คู่แข่งรายใหม่เข้าไปแข่งได้ง่ายจะทำให้ MARGIN ที่สูงนั้นไม่สามารถรักษาได้นาน อย่าง
หุ้นผลิตอิฐมวลเบาหรือนำเข้าถ่านหินเมื่อหลายปีก่อนที่เคยมี GROSS MARGIN สูงมากๆ และการเข้า
มาของคู่แข่งก็ไม่ได้ยาก สุดท้ายกำไรของสองบริษัทนี้ก็ลดลงอย่างมากจากการเข้ามาของคู่แข่ง ดัง
นั้นการที่หุ้นมี GROSS MARGIN หรือ NET MARGIN ที่สูง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป ใน
ทางกลับกัน NET MARGIN ต่ำก็ไม่ได้แย่เสมอไป ดังนั้นเวลาเราดูตัวเลข GROSS MARGIN และ NET
MARGIN เราต้องคิดด้วยว่ามันเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจไหม เรื่องนี้จะมีการขยายความในส่วนของ
FIVE FORCED MODEL ในภายหลัง ตัวเลขสินทรัพย์ในงบการเงินนั้นไม่ได้สะท้อนถึงคุณค่าบางอย่าง
ที่สินทรัพย์ไม่ได้แสดงออกมา เช่น คุณอาจเข้าไปดูในสินทรัพย์ของขนมปังฟาร์มเฮาส์ ว่ามีเท่าไหร่
และบริษัททำกำไรได้เท่าไหร่ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณใช้เงินลงทุนเท่ากับสินทรัพย์ของฟาร์มเฮาส์
แล้วคุณจะได้กำไรเท่ากับฟาร์มเฮาส์ทำได้ เพราะแบรนด์ของเขาติดตลาดไปเรียบร้อยแล้ว และเขายังมี
ระบบการขนส่งที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากขนมปังเป็นของสด ถ้าเขาต้องขายทั่วประเทศ ระบบขนส่งต้องดี
มาก ซึ่งคงไม่ใช่สิ่งที่เลียนแบบกันง่ายๆ หรือการที่คุณดูว่าโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีสินทรัพย์เท่าไหร่
และทำกำไรได้เท่าไหร่ (ROA) ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณมีเงินลงทุนเท่ากับสินทรัพย์โรงพยาบาลบำรุง
ราษฎร์แล้วคุณจะได้กำไรเท่ากับเขา เพราะว่าแบรนด์ของโรงพยาบาลเขาแข็งมาก เป็นที่น่าเชื่อถือและ
เป็นที่รู้จัก คนไข้ต่างประเทศก็เดินทางมารักษาเป็นจำนวนมาก หมอที่เก่งๆก็มีจำนวนมาก ถ้าคุณลงทุน
สร้างโรงพยาบาลขึ้นมา ประเด็นคือ คนทั่วไปจะไว้วางใจโรงพยาบาลของคุณเหรอว่ารักษาดีจริง ถ้า
จ่ายค่าหมอเท่ากัน หมอเกือบทุกคนคงเลือกไปทำงานที่บำรุงราษฎร์มากกว่าที่จะมาทำงานกับโรง
พยาบาล NO NAME ที่เพิ่งเปิด เห็นหรือยังครับว่าอัตราส่วนทางการเงินที่แสดงในงบไม่ได้สะท้อน
ปัจจัยเหล่านี้ออกมา แต่ถ้าคุณจะลงทุนซื้อหุ้นคงต้องวิเคราะห์ปัจจัยเชิงปริมาณกับคุณภาพไปพร้อมๆ
กัน มากกว่าจะวิเคราะห์เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
อัตราส่วน SG&A / SALE (Selling, general, and administrative/SALE)
ปกติอัตราส่วนนี้จะเอาไว้ดูว่าบริษัทมีค่าใช้จ่ายเป็นสัดส่วนเท่าไหร่เมื่อเทียบกับยอดขาย ตามปกติแล้ว
ตัวเลขยิ่งต่ำยิ่งดี แต่ก็มีข้อแม้ในบางกรณีเหมือนกัน เช่น บริษัทอสังหาริมทรัพย์นั้นเวลาเปิดโครงการจะ
ยังไม่สามารถบันทึกรายได้ในงบกำไรขาดทุน แต่จะมีค่าใช้จ่ายทันทีเวลาที่เปิดโครงการ เช่น ค่า
โฆษณาต่างๆ ดังนั้น ถ้าเราดู SG&A/SALE เราก็จะบอกว่าบริษัทคุมค่าใช้จ่ายได้ไม่ดี แต่ความจริงแล้ว
ไม่ใช่ เพราะบริษัทยังไม่สามารถรับรู้รายได้ในตอนนี้ได้ ทำให้ยอดขายเพิ่มไม่ทันค่าใช้จ่าย ดังนั้นเรา
ต้องดูว่า % ของ SG&A เติบโตมากหรือน้อยกว่ายอด pre sale เช่น
บริษัท มันต้องมีดีซักซี้ดนึง
2552 2553
Pre sale 1000 1300
SG&A 150 180
SG&A/SALE 15% 13.8%
จะเห็นได้ว่า บริษัท มันต้องมีดีซักซี้ดนึง ทำยอดจองได้เพิ่ม 30% จาก 1000 เป็น 1300 มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
เพียง 20% แสดงว่าคุมค่าใช้จ่ายได้ดี เนื่องจากยอดจองโตมากกว่าค่าใช้
ให้อัตราส่วน SG&A/SALE ลดลง จะเห็นได้ว่ากรณีนี้ ถ้าเราใช้การวิเคราะห์ SG&A/SALE
ธรรมดา เราอาจจะหลงคิดว่าบริษัทไม่น่
ครบกำหนดโอนบ้าน ยอดรับรู้รายได้อาจจะไม่เติบโต แต่พอไปดูค่าใช้จ่ายกลับโตตั้ง 20% นอกจากนี้
เรายังสามารถต่
margin เนื่องจากว่าบริษัทที่กำลังเติ
บริ
ค่
ใจผิดได้
ถ้าคุณอยากดูอั
น่าจะสะท้อนมากกว่า net margin ครับ
ที่มา : http://hongvalue.wordpress.com/2012/04/11/%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1-npm-sga/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น