หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

KTC ชื่อบริษัท บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

ชื่อบริษัท บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
 http://www.ktc.co.th/
ข้อมูลคร่าว ๆ ย้อนหลังไปปีนึงเพราะเป็น 56-1 ของสิ้นปี 2553

ภาพรวมการประกอบธุรกิจ
ธุรกิจของ KTC คือการให้บริการสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคแบบไม่มีหลักประกันสำหรับผู้บริโภคทั่วประเทศ สมาชิกส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 58 อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อบุคคลเป็นธุรกิจหลัก

โดยธุรกิจของบริษัท สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก คือ

1.ธุรกิจบัตรเครดิต (Credit Card Business)
ในปี 2553 ธุรกิจบัตรเครดิตมีสัดส่วนของลูกหนี้สินเชื่อบัตรเครดิตคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 76 ของจำนวนลูกหนี้สุทธิทั้งหมด ทั้งนี้ธุรกิจบัตรเครดิตของ KTC มีลักษณะเฉพาะที่สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ได้แก่ บัตรเครดิตหลากหลายชนิดที่ได้รับการออกแบบให้ตอบสนองความต้องการของสมาชิกแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกันได้อย่างเหมาะสม ซึ่งสมาชิกจะได้รับสิทธิประโยชน์แตกต่างกันไปในแต่ละร้านค้าและบริการจากพันธมิตรทางการค้าของKTC และนอกจากนี้ยังมีรายการส่งเสริมการใช้บัตรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น รายการสะสมคะแนน “Forever Rewards” ที่ให้ลูกค้าสะสมคะแนนแบบไม่มีวันหมดอายุและสามารถใช้คะแนนแลกซื้อสินค้าประเภทใด ๆ ตามความต้องการ ณ ร้านค้าที่เข้าร่วมรายการกับ KTC

ทั้งนี้ธุรกิจบัตรเครดิต ได้แยกออกเป็น 3 ด้าน คือ ธุรกิจการออกบัตรเครดิต ธุรกิจร้านค้ารับบัตรเครดิต และธุรกิจสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิต

1.1 ธุรกิจการออกบัตรเครดิต (Issuing Business)
ธุรกิจการออกบัตรเครดิต (Issuing Business) เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือบัตรเครดิต เริ่มตั้งแต่การจัดหาลูกค้าบัตรเครดิต การอนุมัติวงเงินให้กับผู้ถือบัตรเครดิต การกำกับดูแลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต การรับชำระหนี้ และการติดตามหนี้ โดยที่ธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตร (Issuing Bank) จะมีรายได้เป็นค่าธรรมเนียมในการทำรายการต่าง ๆ และดอกเบี้ยรับ ทั้งนี้ค่าธรรมเนียมที่ได้รับจะประกอบด้วยค่าธรรมเนียมที่ได้รับในฐานะธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตร เรียกว่า Interchange Fee ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทุกครั้งที่ผู้ถือบัตรนำบัตรของบริษัทไปชำระค่าสินค้าและบริการ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องรูดบัตรของธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตร หรือสถาบันการเงินใด ๆ นอกจากนี้ยังมีการคิดอัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ด้วย เช่น ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน และค่าธรรมเนียมการใช้บริการเบิกเงินสดล่วงหน้า เป็นต้น

1.2 ธุรกิจร้านค้ารับบัตรเครดิต (Acquiring Business)
ธุรกิจร้านค้ารับบัตรเครดิต (Acquiring Business) เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับร้านค้าที่รับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิต โดยบริษัทจะคัดเลือกและติดตั้งเครื่องรูดบัตรให้กับร้านค้า เพื่อกำกับดูแลการอนุมัติการรับชำระค่าสินค้าหรือบริการจากผู้ถือบัตร รวมทั้งควบคุมการกระทำทุจริตของร้านค้า โดยบริษัทจะมีรายได้จากค่าธรรมเนียม ซึ่งคิดตามสัดส่วนของมูลค่าการใช้บัตรผ่านเครื่องรูดบัตรเครดิตทั้งหมด โดยทั่วไปอัตราค่าธรรมเนียมที่คิดจากร้านค้านี้ เรียกว่า “Merchant Discount Rate” ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ได้รับจากร้านค้านี้ส่วนหนึ่งจะต้องแบ่งเพื่อชำระให้กับธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตรอื่น ๆ ที่มาใช้บริการเครื่องรูดบัตรเครดิตของบริษัท

1.3 ธุรกิจสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิต (Circle Loan Business)
ธุรกิจสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิต เป็นธุรกิจการให้สินเชื่อแก่ผู้ถือบัตรเครดิต ซึ่งเป็นสินเชื่อที่รับโอนมาจากธนาคารกรุงไทย โดยบริษัทจะอนุมัติวงเงินสินเชื่อให้แก่ผู้ถือบัตรเพิ่มเติมจากวงเงินการใช้บัตรเครดิตปกติ (ลักษณะคล้ายกับวงเงินเบิกเกินบัญชีของธนาคาร) ทั้งนี้ บริษัทไม่มีนโยบายที่จะขยายการให้บริการสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิตตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา ดังนั้น การดำเนินการในปัจจุบันจะเป็นเพียงการให้บริการกับผู้ถือบัตรที่ยังคงมีบัญชีอยู่และรับชำระสินเชื่อดังกล่าวเท่านั้น โดยยอดลูกหนี้ธนวัฏบัตรเครดิตสุทธิลดลงเหลือเพียง 307 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 และ KTC จะมีรายได้รับจากรายได้ดอกเบี้ยตามมูลค่าของการใช้วงเงินของลูกค้าธนวัฏบัตรเครดิตนั้น ๆ



2 ธุรกิจสินเชื่อบุคคล (Personal Loan Business)
ธุรกิจสินเชื่อบุคคล (KTC CASH) มีสัดส่วนของลูกหนี้คิดเป็นร้อยละ 24 ของลูกหนี้สุทธิทั้งหมด โดยสินเชื่อบุคคลนั้นจะแบ่งออกเป็น 2รูปแบบ
คือ KTC Cash และ KTC Cash Revolve เป็นการบริการให้สินเชื่อสำหรับบุคคลโดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และไม่จำเป็นต้องเป็นลูกค้าบัตรเครดิตของบริษัทมาก่อน ซึ่งได้รับการออกแบบมาสำหรับบุคคลที่มีงานประจำและมีรายได้ต่อเดือนที่แน่นอน KTC Cash จะอยู่ในรูปแบบ Fixed Installment ผู้เปิดบัญชีต้องจ่ายคืนทุกเดือนเป็นจำนวนเงินที่เท่ากันจนกว่าจะชำระหนี้หมด โดยไม่สามารถกลับไปใช้วงเงินที่ได้อีก ซึ่งผู้กู้สามารถเลือกชำระแบบกำหนดระยะเวลา 12- 60 เดือน และสามารถกำหนดวันผ่อนชำระได้ด้วยตนเอง เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและรายรับของตัวผู้กู้ ในขณะที่ KTC Cash Revolve มีคุณสมบัติเด่นคือ เป็นสินเชื่อพร้อมใช้ที่เมื่ออนุมัติจะโอนเงินเข้าบัญชีก้อนแรก และมีวงเงินหมุนเวียนเพื่อการเบิกถอนได้ทุกเมื่อที่ต้องการจากเครื่องเอทีเอ็มทั่วประเทศตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งตัวผู้กู้จะได้รับบัตรกดเงินสดพร้อมวงเงินที่อนุมัติ โดยผู้กู้สามารถกลับไปใช้วงเงินเดิมได้อีก เมื่อทำการชำระคืนKTC จะคัดเลือกลูกค้าที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นโดยกำหนดเป็นผู้มีรายได้ประจำที่มีรายได้ขั้นต่ำจำนวนแตกต่างกันตามประเภทของสินเชื่อบุคคล ซึ่งจะกำหนดวงเงิน 1-5 เท่าของรายได้ และมีอัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอกขึ้นอยู่กับการจัดระดับของ Credit Scoring ทั้งนี้

กำหนดเพดานของอัตราดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงินสูงสุดไว้ไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี
KTC จะรับรู้รายได้ของสินเชื่อบุคคลในรูปของรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถาม ค่าอากรแสตมป์ที่คิดเป็นร้อยละของวงเงินกู้ยืม เป็นต้น
นอกจากธุรกิจหลักทั้ง 2 ประเภทที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว KTC ยังมีธุรกิจสินเชื่อเจ้าของกิจการ (KTC Million) ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน สำหรับเจ้าของกิจการที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการ แต่ KTC มีนโยบายที่จะไม่เพิ่มพอร์ตลูกหนี้ของธุรกิจนี้ ตั้งแต่ปลายปี 2549 เป็นต้นมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ดังนั้น การดำเนินการในปัจจุบันเป็นเพียงการให้บริการแก่ลูกหนี้รายเดิมที่ยังคงมีบัญชีค้างชำระหนี้กับบริษัทอยู่ โดย ณ สิ้นปี 2553 KTC เหลือสัดส่วนของลูกหนี้สินเชื่อเจ้าของกิจการอยู่เพียง 119 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.3 ของลูกหนี้สุทธิทั้งหมดงบการเงิน

งบการเงิน2554

งบการเงิน 2551-2553




โครงสร้างรายได้
โครงสร้างรายได้ของ KTC มาจากรายได้จากดอกเบี้ยรับและค่าธรรมเนียมของสองธุรกิจหลักของบริษัทซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล ซึ่งในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมนั้นได้บันทึกรวมรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงินโดยคำนวณจากยอดลูกหนี้ค้างชำระไว้ด้วย ซึ่งเป็นที่สังเกตว่าภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บริษัทที่ให้บริการสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคที่มิใช่ธนาคารสามารถคิดอัตราดอกเบี้ยได้สูงสุดร้อยละ15 ในขณะที่ภายใต้กฎระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย บริษัทสามารถคิดอัตราดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมได้ถึงร้อยละ 20 สำหรับบัตรเครดิต และร้อยละ 28 สำหรับสินเชื่อบุคคล ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นระหว่าง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย จะบันทึกบัญชีเป็นรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน นอกจากนี้ KTC ยังมีรายได้จากหนี้สูญได้รับคืน ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2545-2550 บริษัทมีรายได้จากการรับจ้างบริหารธุรกิจบัตร Visa Electron ให้กับธนาคารกรุงไทย และได้ยกเลิกการให้บริการดังกล่าวในปี 2550 ต่อมาในปลายปี 2552 บริษัทได้ให้บริการบริหารธุรกิจบัตร Fleet Card ให้กับธนาคารกรุงไทย โดยมีระยะเวลาให้บริการ 6 เดือน นับจากวันที่ 1 ธันวาคม 2552 เป็นต้นไป และหลังจากที่ครบกำหนดสัญญาแล้ว ได้มีการว่าจ้างบริหารต่ออีก 3 เดือน รายละเอียดของโครงสร้างรายได้ตามงบการเงินเฉพาะของบริษัท 3 ปีย้อนหลัง (ปี 2551- ปี 2553) ดังตาราง
 
 
อัตราการเปลี่ยนแปลงของจำนวนบัตร 2551-2553


ปัจจัยความเสี่ยง
1.ปัจจัยความเสี่ยงในการให้สินเชื่อ
ความเสี่ยงจากกระบวนการจัดอันดับเครดิตการให้สินเชื่อ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย


บริษัทตระหนักถึงความเสี่ยงอันอาจเกิดจากกระบวนการจัดอันดับเครดิตเพื่อใช้ในการพิจารณาสินเชื่อให้กับลูกค้าแต่ละรายเป็นอย่างมาก จึงได้กำหนดมาตรฐานการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อทุกประเภท สำหรับการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลนั้น บริษัทจะพิจารณาจากการใช้ Statistical Scoring Model เป็นแนวทางประกอบการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์สินเชื่อ นอกจากนั้น ในขั้นตอนการอนุมัตินั้นจะต้องผ่านการพิจารณาตรวจสอบจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลากหลายหน่วยงาน เพื่อช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการวิเคราะห์และเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปอย่างถูกต้อง

ความเสี่ยงจากการทุจริตบัตรเครดิต

บริษัทได้ให้ความสำคัญกับความเสียหายจากการทุจริตบัตรเครดิต โดยมีการพัฒนาและลงทุนเพื่อเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้บัตรเครดิตของบริษัทในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งได้มีการพัฒนาในตัวของบัตรเครดิตและเครื่องรูดบัตรเครดิตจากเดิมที่ใช้แถบแม่เหล็ก (Electronic Data Capture – EDC) ไปสู่ชิปเทคโนโลยี (Chip Card and EMV Technology) รวมทั้งยังได้มีการลงทุนนำระบบ Online Fraud Detection ใหม่ ที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้ นอกจากนี้บริษัท ยังได้มีการนำระบบการเข้ารหัส (3D-Secure) สำหรับการทำธุรกรรมทาง E-Commerce ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับผู้ถือบัตร และร้านค้าสมาชิก โดยระบบดังกล่าวเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศ โดยในปี 2553 บริษัทมีมูลค่าความเสียหายอันเกิดจากการทุจริตบัตรเครดิตเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 8.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ˜ 0.02 ของสินเชื่อรวม ลดลงร้อยละ ˜25 จาก ปี 2552 ที่จำนวน ˜11.9 ล้านบาท

ความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระหนี้

ด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันทำให้ธุรกิจสินเชื่อมีความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระหนี้คืนสูงขึ้น แต่บริษัทมีนโยบายให้บริการสินเชื่อเพื่อผู้บริโภครายย่อยแก่ลูกค้าที่มีความสามารถในการจ่ายชำระคืน โดยลูกค้าแต่ละรายจะได้รับวงเงินสินเชื่อที่กำหนดตามความเสี่ยงของแต่ละบุคคล จึงทำให้ความเสี่ยงอันอาจเกิดจากการไม่ได้รับชำระหนี้จากลูกค้าแต่ละรายมีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้ง บริษัทได้กระจายสินเชื่อดังกล่าวไปทั่วทุกอุตสาหกรรม ภูมิภาค และกลุ่มลูกค้า มิได้เน้นเฉพาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทำให้ความเสี่ยงอันอาจเกิดจากการไม่ได้รับชำระหนี้จากลูกค้าอยู่ในระดับต่ำ

2.ป้จจัยความเสี่ยงจากภาวะตลาด



บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงอันเกิดจากการเพิ่มสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ย เป็นผลให้บริษัทมีต้นทุนเงินทุนที่สูงขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังผลการดำเนินงานของบริษัท บริษัทตระหนักดีถึงผลกระทบดังกล่าว ดังนั้นเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยตลาดต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัท และบริหารความเสี่ยงของบริษัทให้อยู่ภายในระดับที่ยอมรับได้ บริษัทได้จัดหาเงินกู้ยืมทั้งประเภทระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งประเภทอัตราดอกเบี้ยคงที่และอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยมีการปรับสัดส่วนเงินกู้ยืมแต่ละประเภทให้สอดคล้องกับแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต และสถานะของโครงสร้างสินทรัพย์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม การจัดสัดส่วนดังกล่าวต้องคำนึงถึงความเสี่ยงด้านสภาพคล่องร่วมด้วยเสมอ
 
ความเสี่ยงจากความไม่เพียงพอของเงินทุนหมุนเวียน


บริษัทมีนโยบายในการบริหารเงินทุนให้เพียงพอต่อการขยายตัวของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัทตระหนักถึงความเสี่ยงอันอาจเกิดจากการมีเงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพอ เนื่องจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจไทย รวมถึงสภาวะความผันผวนของตลาดการเงินไม่ว่าจะเป็นตลาดตราสารหนี้หรือตลาดทุน ซึ่งอาจจะมีผลต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทในอนาคต ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องทางการเงินดังกล่าว บริษัทจึงมีมาตรการจัดการสภาพคล่องโดยใช้แบบจำลองในการประเมินสภาพคล่องของบริษัททั้งในระยะสั้นและระยะยาว และใช้ในการจัดสรรเงินทุนเพื่อให้เหมาะสมกับอายุของลูกหนี้ของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทได้รับการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อจากธนาคารกรุงไทย เป็นจำนวนทั้งสิ้น 18,000 ล้านบาท และมีวงเงินเบิกเกินบัญชี (Overdraft) อีกจำนวน 30 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการระดมทุนจากตลาดทุน โดยการออกหุ้นกู้ การออกตั๋วแลกเงิน และแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินหลายแห่ง โดยบริษัทไม่ได้พึ่งพิงสถาบันการเงินแห่งใดแห่งหนึ่งโดยเฉพาะ ณ 31 ธันวาคม 2553 บริษัทมีวงเงินคงเหลือ กับสถาบันการเงินต่าง ๆ จำนวน 21,900 ล้านบาท
 
3.ปัจจัยความเสี่ยงจากการดำเนินงานของบริษัท
ความเสี่ยงอันเกิดจากการสูญเสียข้อมูล


ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทนั้นจำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูลขนาดใหญ่เกี่ยวกับลูกค้าและรายการธุรกรรมต่าง ๆ ทำให้มีความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ การสูญเสียข้อมูลอันเกิดจากอุบัติเหตุ หรือมีผู้จงใจทำลายข้อมูล หรือความผิดพลาดที่เกิดจากระบบ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงอันเกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลที่สำคัญ บริษัทได้กำหนดมาตรการที่รัดกุมในการรักษาข้อมูล และให้อำนาจเฉพาะบุคคลที่ได้รับอนุญาตในการเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญของลูกค้า สำหรับความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการที่มีผู้จงใจทำลายข้อมูลนั้น บริษัทได้กำหนดให้บริษัทที่ดูแลระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท (FIS (เดิมชื่อ Certegy) และ KCS) จัดทำฐานข้อมูลสำรอง อีกทั้งจะต้องมีกระบวนการนำข้อมูลกลับคืนมาหากข้อมูลถูกทำลาย

ความเสี่ยงอันเกิดจากการควบคุมของภาครัฐ

กระทรวงการคลังได้ออกประกาศอนุญาตให้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยอนุญาตให้ประกอบธุรกิจภายใต้ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 และมอบอำนาจให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ควบคุมดูแลโดยได้ออกประกาศเกี่ยวกับข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจดังกล่าว รวมทั้งมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่สามารถเรียกเก็บจากลูกค้า คุณสมบัติของผู้ถือบัตรเครดิตและลูกค้าสินเชื่อบุคคล ซึ่งบริษัทได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับแล้ว รวมถึงได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็คทรอนิกส์ ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็คทรอนิกส์ พ.ศ. 2551 ซึ่งคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็คทรอนิกส์ และธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลได้ออกประกาศเกี่ยวกับข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทได้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศ กฎระเบียบ ข้อบังคับที่ได้ออกมาบังคับใช้แล้วทุกประการ และหากมีการออกกฏหมาย หรือกฎระเบียบ ข้อบังคับใหม่ ๆ ในอนาคต บริษัทก็จะถือปฎิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับนั้น ๆ อย่างเคร่งครัด อนึ่ง หากการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับต่าง ๆ ไม่มีความยืดหยุ่นและไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ในขณะนั้น อาจจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของบริษัทได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ออกกฎระเบียบได้มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบให้สอดคล้องกับภาวะตลาดในขณะนั้น ๆ ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าความเสี่ยงนี้จะถูกบริหารได้อย่างเหมาะสม

ความเสี่ยงอันเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคาร)

ธนาคารซึ่งมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ได้ลงนามในสัญญาการให้บริการด้านงานสนับสนุน (Back Office) กับบริษัทเพื่อให้ความสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทเป็นระยะเวลา 15 ปี โดยบริษัทสามารถใช้เครือข่ายสาขาของธนาคารในการจัดหาสมาชิกและการรับชำระเงินและร่วมใช้ระบบงาน Computer System บางส่วนของธนาคารได้อีกด้วย โดยบริษัทจะจ่ายค่าบริการด้านงานสนับสนุนที่กำหนดตามอัตราตลาดให้กับธนาคาร ทั้งนี้ บริษัทเห็นว่าความเสี่ยงอันอาจเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของธนาคารนั้นมีน้อยมาก เนื่องจากการเข้าทำสัญญาดังกล่าวได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการของธนาคาร นอกจากนี้ในส่วนของการจัดหาสมาชิกนั้น บริษัทมีช่องทางการจัดหาสมาชิกที่หลากหลาย อีกทั้ง ยังได้รับความสนับสนุนจากผู้ประกอบการราย อื่นๆ ในการให้บริการเพื่อเป็นช่องทางการชำระเงินสำหรับลูกค้าของบริษัท ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าอีกด้วย ทั้งนี้ หากธนาคารไม่ปฎิบัติตามสัญญาแล้วนั้น บริษัทสามารถจัดหาผู้ให้บริการรายใหม่ ๆ เพื่อรองรับการดำเนินงานได้ สำหรับในส่วนของระบบงานข้อมูลสารสนเทศนั้น บริษัทร่วมใช้ระบบงานข้อมูลสารสนเทศของธนาคารน้อยมาก อีกทั้งบริษัทยังได้ว่าจ้าง FIS (เดิมชื่อ Certegy) ซึ่งเป็นบริษัทภายนอกมาดูแลระบบสารสนเทศของบริษัทโดยเฉพาะ ดังนั้น การไม่ปฎิบัติตามสัญญาของธนาคารซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นมีน้อยมาก จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของบริษัท


ความเสี่ยงจากสภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นอันเกิดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ประกอบการ

บริษัทได้ตระหนักถึงสภาวะการแข่งขันที่มีความรุนแรงมากขึ้น โดยอาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคา การแย่งชิงลูกค้า หรือการรับโอนหนี้ของลูกค้า ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานรวมทั้งผลประกอบการของบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความชำนาญในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน รวมทั้ง มีการลงทุน พัฒนาและคิดค้นผลิตภัณฑ์และการบริการรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อสร้างมูลค่าสูงสุดให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการเข้ามาดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ นั้นจะต้องใช้เวลาในการสำรวจตลาดและวิธีการดำเนินธุรกิจให้เหมาะสมกับธุรกิจที่มีรูปแบบเฉพาะประเภทนี้ ทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบเหนือผู้ประกอบการรายอื่น ๆ เป็นอย่างมาก ดังนั้น บริษัทเห็นว่าการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นนั้นไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของบริษัททั้งในระยะสั้นและระยะยาว
 
Earning Per Share(EPS) ย้อนหลัง
KTC เพิ่มทุน 773.5 ล้านหุ้น ขายผู้ถือหุ้นเดิม 1:3 ที่ราคา 10 บ./หุ้น

บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC)เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อ 18 มีนาคม 2552 ให้ลดทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จากจำนวน 2,580,162,000 บาทเป็นจำนวน 2,578,334,070 บาท ด้วยการยกเลิกหุ้นสามัญที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายจำนวน 182,793 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นหุ้นที่เหลือจากการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกให้แก่กรรมการและพนักงาน


จากนั้นให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯจากจำนวน 2,578,334,070 บาท เป็นจำนวน 10,313,336,280 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่ จำนวน 773,500,221 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ทั้งนี้ เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในราคาหุ้นละ 10 บาท โดยมีอัตราส่วนการจองซื้อเท่ากับ 1 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้นสามัญใหม่

และภายใต้สถานการณ์ทางการเงินในปัจจุบันของตลาดและประกอบกับแผนการเพิ่มทุนของบริษัทฯ เพื่อเสริมสร้างสภาพคล่อง คณะกรรมการของบริษัทฯ มีความเห็นว่าหากที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติสนับสนุนและอนุมัติการเพิ่มทุนของบริษัทฯ เป็นการสมควรที่บริษัทฯ จะทำการจ่ายเงินปันผลจากผลกำไรของการดำเนินงานในปี 2551 ที่ผ่านมาให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 1 บาท ต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น

สำหรับวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล (Record Date) คือวันที่ 1 เมษายน 2552 และให้รวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นตามมาตรา 225 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 2 เมษายน 2552 และอนุมัติให้จัดสรรทุนสำรองตามกฎหมายเป็นจำนวนเงิน 26,100,000 บาท ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลจะดำเนินการภายในวันที่ 29 พฤษภาคม 2552

จากรูป EPS ย้อนหลัง  ปี 2552 มีการขาดทุนจาก ...
เรื่องราวที่ไม่มีในบทวิเคราะห์ของ KTC  ที่มา http://settalk.blogspot.com/2010/03/ktc.html

KTC ขาดทุนจริงหรือ?
วันพุธที่3 มีนาคม 2553 ราคาหุ้นของบริษัทบัตรกรุงไทย(KTC) ร่วงลงมา12%ภายในวันเดียว หลังจากประกาศผลประกอบการออกมาว่าขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ7ปี
KTC บริษัทเครดิตการ์ดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขาดทุนในปี52เป็นจำนวน394.8ล้านบาท หลังจากกำไรในปีก่อนหน้าเป็นจำนวนถึง616.74ล้านบาท เกิดอะไรขึ้นกับบริษัทในปีที่แล้ว อะไรทำให้KTCขาดทุนทั้งๆที่รายได้ก็เพิ่มขึ้นเกือบ20%?
เฉลยให้ก็ได้ครับว่าKTCไม่ได้ขาดทุนเพราะบริษัทกำลังจะแย่ลง แต่ขาดทุนเพราะเปลี่ยนระบบการบันทึกบัญชี เปลี่ยนไปยังไง? ไปดู
ระบบบัญชีที่เปลี่ยนไปของKTC

โดยทั่วไปลูกค้าบัตรเครดิตจะต้องจ่ายเงินที่ใช้จากบัตรและค่าบริการภายใน90วัน ถ้าเลย90วันไปจะถือว่าล่าช้า ซึ่งการบันทึกแบบเดิม KTCจะต้องจัดสรรเงินไว้1%ของหนี้ที่จ่ายล่าช้า และจะเอาเงินที่สำรองไว้ตรงนี้ไปรองรับค่าเสียหายถ้าลูกค้าไม่ยอมจ่ายหนี้ขึ้นมาจริงๆ หมายความว่าถ้ามีคนไม่จ่ายหนี้บัตรเครดิตเกินไป90วัน รวมแล้วเป็นจำนวนเงิน100ล้านบาท KTCจะต้องจัดเงินไว้สำรองเป็นจำนวน1ล้านบาท ซึ่งจะนับเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายทั่วๆไปอย่างอื่น

กฎระเบียบใหม่ก็คือ ถ้าการจ่ายหนี้บัตรเครดิตล่าช้าเกิน90วัน KTCจะต้องจัดสรรเงินไว้100%ของเงินที่ล้าช้าทั้งหมด! ถ้าจะนวนเงินที่ล่าช้าคือ100ล้านบาท KTCจะต้องจัดเงินจัดสรรสำรองสำหรับหนี้ที่คาดว่าจะเสียเป็นจำนวน100ล้านบาทเช่นกัน ซึ่งจะนับเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และนี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทเพิ่มขึ้น และนี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้KTCขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ7ปี เพราะกฏระเบียบที่เปลี่ยนไป!
ทั้งๆที่เป็นไปไม่ได้เลยว่าหนี้ทั้งก้อนจำนวน100ล้านบาทที่คนเขาจ่ายกันล่าช้าจะเป็นหนี้เสียทั้งหมด แต่บริษัทก็ต้องจัดเงินสำรองไว้เท่ากับจำนวนที่จ่ายช้าทั้งหมดเพราะกฎหมายเขาบังคับ เพราะทางรัฐต้องการให้การจัดการเกี่ยวกับหนี้นั้นรัดกุมและปลอดภัยขึ้น โดยเฉพาะในสภาวะที่หนี้เสียมีโอกาสผันผวนได้มากอย่างช่วงวิกฤตเศรษฐกิจใน2ปีที่ผ่านมา
"ถ้าใช้ระเบียบการบันทึกทางบัญชีแบบเดิม ปีที่แล้วKTCจะมีกำไรประมาณ286ล้านบาท ไม่ใช่ขาดทุนหกร้อยกว่าล้านบาทอย่างที่เห็นกันในหนังสือพิมพ์"
วันที่ประกาศผลประกอบการราคาหุ้นKTCตกจาก12.30มาที่10.80 และยังลงไปต่ำสุดเมื่อวันพฤหัสที่9.85 ราคาปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์ราคาอยู่ที่10.00บาท เห็นราคา10บาทล่าสุดก็ตั้งแต่ครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว ตอนที่คนยังสับสนกับทิศทางของเศรษฐกิจโลกกันอยู่ ตอนนี้เศรษฐกิจฟื้นตัวชัดเจน KTCก็ไม่ได้ขาดทุนย่อยยับอย่างที่ว่า(จะพูดว่ากำไรก็ยังได้)
คุณนิวัตต์ จิตตาลานซึ่งเป็นCEOของKTCกล่าวว่าปีนี้KTCจะกลับมามีกำไรอย่างชัดเจน โดยจะมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง4-5%ในสองสามปีข้างหน้า ถึงตอนนั้นคนก็จะเริ่มตั้งคำถามว่า "อ่าว มันไม่ได้กำลังแย่เหรอ แล้วทำไมมันถึงขาดทุนปีที่แล้วละ" นักวิเคราะห์ก็จะเริ่มออกมาอธิบายว่า "อ่อครับ ตอนนั้นมันไม่ได้ขาดทุนจริง มันเปลี่ยนระบบทางบัญชีเฉยๆ" แค่นั้นแหละ หุ้นพุ่งเลย พูดสั้นๆคือ ราคาหุ้นKTCกำลังถูกมากๆ ถ้าราคาเริ่มลงอีกเมื่อไรให้เริ่มทยอยรับเลยครับ

วิเคราะห์ 8 ประการ.... ของ การเป็น SuperStock ตามหลัก ....
ที่มา http://www.thaivi.com/2010/01/110/

1.Durable Competitive Advantage (DCA) หรือการได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน
KTC เป็นผู้เล่นบัตรเครดิต รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มี Market share ราว ๆ 12-13% ต่อปีมา 6 ปี
(2006-2011) แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนของ Marketshare ที่มีมาตลอด 6 ปีทำให้คิดได้ว่า ไม่น่าจะเป็นความได้เปรียบแบบชั่วคราว เรียกได้ว่าเป็นผู้นำมาตลอด 6 ปี
2. Virtuous Circle  หรือ “วงจรแห่งความรุ่งเรือง” 

3. Super Stock นั้นจะต้องมีศักยภาพสูงมาก  นั่นคือ  ตลาดของสินค้าหรือบริการจะต้องใหญ่มาก  และบริษัทอยู่ในสถานะที่จะ “ยึดครอง” ตลาดนั้นได้

4. การเติบโตของบริษัทที่ผ่านมานั้นน่าประทับใจเป็นเลขสองหลัก  คือมากกว่า 10% เกือบทุกปี โดยที่ยอดขายไม่เคยลดลงเลยแม้ในยามที่เศรษฐกิจซบเซาหรือเกิดวิกฤติ เช่นเดียวกัน  กำไรของบริษัทก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ในอัตราใกล้เคียงกับยอดขายหรือดีกว่า

2551-2554 รายได้ของ KTC ไม่ได้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะเลย โดยเฉพาะ ยอดขายของปี 2551-2552 ลดลงด้วย แต่กำไรเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะในปี

10 ความคิดเห็น:

  1. เคทีซียอมรับปี54มีสิทธิขาดทุน ชี้มีต้นทุนสูงตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายเหลือ40%

    นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) ได้เเปิด
    แถลงข่าวกับสื่อมวลอย่างเป็นรทางการเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้เข้ามารับตำแหนงเมื่อ ปลายปีที่
    ผ่านมา โดยระบุว่า ในปี 2555 บริษัทฯวางแผนที่จะทำการลดต้นทุนการดำเนินงานจากปัจจุบันที่
    อยู่ในระดับ 46-48 % ให้ลดลงเหลือ 40 % ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรม และในปี
    2556 จะลดต่ำลงให้มากกว่า 40 % ซึ่งเป็นอันดับที่ใกล้เคียงอุตสาหกรรม ส่วนในปี 2556 จะ
    พยามลดต่ำลงให้มากกว่า 40 % เนื่องจากปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมาส่งผลกระทบทำให้บริษัท
    มีต้นทุนในการดำเนินงานสูง
    นายระเฑียร กล่าวว่า ยอมรับว่าผลการดำเนินงานในปี 2554 มีโอกาสขาดทุน โดยเป็น
    ผลจากที่บริษัทฯได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม แม้ว่างบ 9 เดือนที่ผ่านมาจะมีกำไร รวม
    ทั้งมีภาระจากการจัดเก็บภาษีที่เป็นรูปแบบของวิธีการคิดบัญชีในธุรกิจ Non-Bank ซึ่งต้องมีการ
    ตั้งสำรองไว้เมื่อปี 2552 ทำให้มีการตั้งภาษีในอนาคตไว้ที่ 30% เช่นเดิม อีกทั้งเมื่อกลับมา
    พิจารณาต้นทุนในการดำเนินงานของบริษัทฯยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าอุตสาหกรรม
    ส่วนสิ้นปี2555เบื้องต้นคาดว่าฐานบัตรเครดิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 ล้านบัตร ซึ่งเป็น
    เป้าหมายเดิมจากปี 2554 ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม และทำให้ฐานบัตรเครดิตลดลง
    เหลืออยู่ประมาณ 1.7 ล้านบัตร
    สำหรับกลยุทธ์ในปี2555บริษัทจะทำการปรับปรุงระบบไอทีรวมถึงให้ความสำคัญกับ
    ออนไลน์เครดิตการ์ดมาเก็ตติ้ง โดยบริษัทได้เตรียมงบประมาณในการลงทุนไว้ที่ กว่า 900 ล้าน
    บาท ซึ่งปกติบริษัทฯจะใช้โปรแกรมจากบริษัทเอาท์ซอร์ส ซึ่งมีฐานอยู่ที่ต่างประเทศทำให้มีต้น
    ทุนสูง รวมทั้งจะใช้ระบบอินเฮ้าส์ เข้ามาแทนที่ระบบเอาท์ซอร์สในหลายส่วนงานเพื่อลดภาระต้น
    ทุนและทำให้บริษัทมีความคล่องเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังจะเน้นการให้ความสำคัญกับการฝึกอบรม
    พนักงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานให้มากยิ่งขึ้น และเชื่อว่าแผนการลดต้นทุนดังกล่าวจะ
    เห็นความชัดเจนได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ และเป็นการลดต้นทุนได้อย่างต่อเนื่องในระยะ
    ยาว
    ดังนั้นถ้าแผนการลดต้นทุนดังกล่าวมีความสำเร็จเชื่อว่าในปี 2556 ผลการดำเนินงาน
    ของบริษัทฯจะสามารถเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2549 ที่มีสถิติการทำกำไรอยู่ที่ 650
    ล้านบาทและในปี 2557 จะเติบโตขึ้นให้เป็นที่ 1 ของอุตสาหกรรมเครดิตการ์ด อย่างไรก็ตาม
    แผนการดำเนินงานในเชิงตัวเลขและเป้าหมายต่างๆจยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากต้องรอ
    การแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงเดือนหน้าก่อน
    ที่มา แนวหน้า วันที่ 19/01/12 เวลา 9:35:50

    ตอบลบ
  2. KTC เดินหน้าบวกต่อ! แม้ยอมรับปี 54 มีโอกาสขาดทุน แต่ปี 55 เล็งลดต้นทุน ส่วนโบ
    รกฯ ให้แนวต้าน 13.40 บ.

    ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
    หรือ KTC เมื่อเปิดตลาดภาคเช้าปรากฎว่าราคาหุ้นดังกล่าวปรับขึ้นทันที แม้ล่าสุดผู้บริหารของ
    KTC จะออกมายอมรับว่าผลการดำเนินงานในปี 2554 มีโอกาสขาดทุน เพราะได้รับผลกระทบ
    จากภาวะน้ำท่วม แต่ในปี 2555 บริษัทวางแผนที่จะทำการลดต้นทุนการดำเนินงานจากปัจจุบันที่
    อยู่ในระดับ 46-48 % ให้ลดลงเหลือ 40 % ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรม
    ด้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ เปิดเผยว่าตามสัญญาณทางเทคนิค
    พบว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น KTC มีแนวรับอยู่ที่ 12.90 บาท และแนวรับถัดไปอยู่ที่ 12.60
    บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 13.40 บาท ในขณะที่กลยุทธ์การลงทุนแนะนำเล่นเก็งกำไรหรือขายที่
    แนวต้าน
    ณ เวลา 10.30 น. ราคาหุ้น KTC อยู่ที่ 13.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ 6.56%
    มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 20.73 ล้านบาท
    เรียบเรียง โดย อาภรณ์ สุภาพ
    อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
    อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com

    ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 20/01/12 เวลา 10:34:18

    ตอบลบ
  3. ไม่น่าแปลกใจเลยครับที่ KTC จะขาดทุนปี 54
    เพราะแต่ละ Q ที่ผ่านมากำไรประมาณ 40-60 MB
    แต่ต้องตั้งสำรองหนี้สูญ Q ละประมาณ 1,100 MB
    ดังนั้นถ้า Q4 นี้ต้องตั้งสำรองเพิ่มเป็น 1,300 MB
    KTC ก็จะขาดทุนปี 54 ทันที

    ที่มา : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=4&t=17164&view=unread

    ตอบลบ
  4. จับตาŽKTCŽสัญญาณฟื้นตัวชัด กูรูแนะทยอยเก็บ-ลุ้นไกล20.70บ. [ ทันหุ้น, 23 มกราคม 2012 ]

    ทันหุ้น- KTC วิ่งขาขวิด 13.11% สวนทางงบปี 54 ที่ส่อแววขาดทุน เมื่อเทียบกับปี 53 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ 224.16 ล้านบาท ด้าน นายกฤษณ์ สุวรรณพิบูลย์Ž เซียนหุ้นฟันธง KTC ราคาเริ่มมีความแข็งแกร่ง ส่งสัญญาณฟื้นตัวทั้งระยะสั้นและระยะกลาง จับตาวิ่งทะลุ 15.80 บาท ภายในเร็วๆนี้ ก่อนทดสอบ 20.70 บาท ลั่นแนะทยอยเข้าสะสมŽ

    ผู้สื่อข่าวรายงานการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC วันที่ 20 ม.ค.55 ปิดตลาดอยู่ที่ 13.80 บาท เพิ่มขึ้น 1.60 บาท หรือ 13.11% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 169.32 ล้านบาท โดยระหว่างวันราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และ ทำจุดสูงสุดที่ระดับ 14.10 บาท และ ต่ำสุดที่ 12.50 บาท

    นายกฤษณ์ สุวรรณพิบูลย์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา (17 ม.ค.55) ฝ่ายวิจัยได้ให้ความเห็นว่าแม้ราคาหุ้น KTC ในช่วงดังกล่าวจะปรับตัวลดลงแต่ก็ยังไม่ทำให้หุ้นเกิด Daily Sell SignalŽ ครั้งใหม่แต่อย่างใด

    โดย KTC จะกลับมาเกิด Daily Sell SignalŽ ครั้งใหม่ก็ต่อเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงและปิดตลาดต่ำกว่า 10.80 บาท ดังนั้นตราบใดที่ KTC ยังไม่เกิด Daily Sell SignalŽ ฝ่ายวิจัยมองว่าหุ้น KTC มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นเพื่อทดสอบเป้าหมายเบื้องต้นที่ระดับ 13.30 บาท ได้อย่างแน่นอน และเป็นที่ชัพดเจนแล้วว่าราคาหุ้น KTC ไม่ได้กลับไปเกิด Daily Sell SignalŽ แถมยังทะลุเป้าหมายเบื้องต้นที่ฝ่ายวิจัยได้ให้ไว้ด้วยที่ 13.30 บาท

    ในช่วงนี้ฝ่ายวิจัยจึงมองว่ารูปแบบราคาหุ้นเริ่มมีความแข็งแกร่งมากขึ้นภายหลังจากสามารถทะลุผ่านเป้าหมายเบื้องต้นไปแล้ว ดังนั้นในระยะสั้นหุ้น KTC จะมีเป้าหมายอยู่ที่ 14.60 บาท และ มีเป้าหมายสำคัญในระยะสั้นอยู่ที่ 15.80 บาท ตามลำดับŽ

    สำหรับรูปแบบราคาหุ้น KTC ในระยะกลางนั้นยังบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยฝ่ายวิจัยได้ประเมินเป้าหมายในระยะกลางไว้ที่ 20.70 บาท ซึ่งมั่นใจว่าในระยะกลางจะเห็นอย่างแน่นอน ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในหุ้น KTC จึง ทยอยสะสมŽ ส่วนการลงทุนวันนี้ (23ม.ค.55) มองแนวต้านอยู่ที่ 14.40-15 บาท และ แนวรับอยู่ที่ 13.50 บาท และ 12.80 บาท

    ล่าสุดนายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ให้ความเห็นว่า บริษัทมั่นใจว่าในปี 2556 จะสามารถทำกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งทะลุสถิติเดิมที่เคยทำไว้ในปี 2549 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 650 ล้านบาท และเชื่อมั่นว่าราคาหุ้นจะเริ่มสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานที่เริ่มอยู่ในช่วงขาขึ้นด้วย

    โดยปัจจุบันราคาหุ้นของบริษัทยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (บุ๊คแวลู่) ที่อยู่ 25.55 บาท ดังนั้นจากนี้ไปกลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อยสบายใจได้ว่าการดำเนินธุรกิจของบริษัทจะไม่กลับไปย่ำแย่เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้นภาพรวมการลงทุนในหุ้นจึงเหมาะสมกับการ ลงทุนระยะยาวŽ

    นอกจากนี้บริษัทยังได้ตั้งเป้าหมายปี 2557 ขึ้นแท่นเป็นเบอร์หนึ่งของอุตสาหกรรมเครดิตการ์ด อย่างไรก็ตามแผนการดำเนินงานในเชิงตัวเลขและเป้าหมายต่างๆจะยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากต้องรอการแจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ในช่วงเดือน ก.พ. 2555 ก่อน ขณะที่ปี 2555 คาดว่าฐานบัตรเครดิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 ล้านบัตร

    สำหรับปัจจัยที่ทำให้บริษัทมีความเชื่อมั่นในผลงานทั้งการทำกำไรสุทธิทุบสถิติ และ ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของอุตสาหกรรมเครดิตการ์ดนั้น คือ การวางแผนการดำเนินงาน 3 ปี (2555-2557) ซึ่งบริษัทได้วางกลยุทธ์ไว้ดังนี้ โดยในปี 2555บริษัทจะทำการลดต้นทุนการดำเนินงานจากปัจจุบันอยู่ในระดับ 46-48% ให้ต่ำกว่า หรือ ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมที่เฉลี่ยที่ระดับ 40%

    นายระเฑียร กล่าวยอมรับว่า ผลประกอบการปี 54 มีโอกาสขาดทุนสุทธิ แม้ว่างบ 9 เดือนแรกจะมีกำไรสุทธิประมาณ 151.31 ล้านบาท ขณะที่ปี 53 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 224.16 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม รวมทั้งมีภาระจากการจัดเก็บภาษีที่เป็นรูปแบบของวิธีการคิดบัญชีในธุรกิจ Non-Bank ซึ่งต้องมีการตั้งสำรองไว้เมื่อปี 52 ทำให้มีการตั้งภาษีในอนาคตไว้ที่ 30% เช่นเดิม อีกทั้งเมื่อกลับมาพิจารณาต้นทุนในการดำเนินงานของบริษัทยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าอุตสาหกรรม

    ตอบลบ
  5. Font ติดๆกันไปหน่อยนะ อ่านลำบาก โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ

    ตอบลบ
  6. KTC ยังวิ่งได้อีก หลัง 8 วันทำการพุ่งกว่า 29%ด้านโบรกฯแนะขาย เหตุเข้าเขตซื้อมาก
    เกินไปแล้ว

    ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด
    (มหาชน) หรือ KTC เมื่อเปิดตลาดภาคเช้าปรากฎว่าราคาหุ้นดังกล่าวปรับขึ้นทันที
    แม้ก่อนหน้านี้ผู้บริหาร KTC ออกมายอมรับว่าผลการดำเนินงานในปี 2554 มี
    โอกาสขาดทุน เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม ส่วนปีนี้ เตรียมแผนลดต้นทุนการ
    ดำเนินงานจากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 46-48 % ให้ลดลงเหลือ 40 % ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียง
    กับอุตสาหกรรม
    อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบพว่าราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 8วันทำการ
    จากปิดตลาดวันที่ 18 ม.ค. 55 อยู่ที่ 11.80 บาท ทะยานสูงสุดวันนี้ที่ 15.30บาท เพิ่มขึ้น
    3.5บาทหรือคิดเป็น 29.66%
    ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป ระบุว่า ราคาหุ้นเข้าเขตซื้อมากเกินไปแล้ว
    จึงแนะนำขาย ให้แนวต้าน 15.50 บาท
    ล่าสุดเมื่อเวลา 10.44 น. ราคาหุ้น KTC อยู่ที่ 15.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
    หรือ 3.45% มูลค่าการซื้อขาย 79.34 ล้านบาท





    รายงาน โดย ชัยรัตน์ พุ่มมาลา
    เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
    อนุมัติ โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์
    อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




    ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 30/01/12 เวลา 10:47:06

    ตอบลบ
  7. ที่มา: http://board.thaivi.org/viewtopic.php?t=17099 โพสไว้นานแล้วPosted: Fri Apr 21, 2006 10:33 am
    คือผมซื้อเพราะ

    1. ธุรกิจบัตรเครดิตมหัศจรรย์ นี่ชอบอยู่แล้ว เพราะแนว วอเรน >> american express

    2. มีแบงค์กรุงไทยแบ๊คอยู่ โดยถือหุ้นใหญ่ไม่ต้องกลัว ว่าไม่มีเงินปล่อย ถ้า ktc พิสูจน์ตัวเองว่า ทำกำไรได้จริง

    3. หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ เกือบทั้งหมด เอาไปปล่อยกู้ครับ เหลือค่าสำนักงานนิดเดียว อาจจะเป็นเพราะใช้เค๊าเตอร์ ของกรุงไทยทั่วประเทศ ในการปล่อยบัตรเครดิต 1.2 ล้านใบ

    4. ส่วนต่างดอกเบี้ยน้อย อันนี้ แลกกลับความมั่นคงในอนาคตครับ คือ ktc จะได้ฐานลูกค้าระยะยาว

    5. ถ้ากำไรไม่โตเลย ราคานี้ 23 บาท ก็ได้ผลตอบแทน 11 % ครับ

    6. คิดว่ากำไรโตแน่นอน เนืองจาก ฐานปล่อยกู้ไป 28000 ล้าน ซึ่งปีที่ผ่านมาค่อยๆเพิ่ม แต่ปี 2549 รับเต็มๆ ต่อให้ไม่ได้ปล่อยเพิ่มนะครับ

    7. ราคา 23 นี่ ใกล้ book อย่างน่าประหลาด book อยู่ที่ 22

    8. ktc พิสูจน์ตัวเอง ผ่านช่วงเวลาลำบากหลากหลาย เพราะเพิ่ง set up ธุรกิจ กลับต้องมาเจอ เรืองหลายเรืองในอดีตเช่น กฎคุมเข้มของแบงชาติ และช่วงที่ผ่านมา คือดอกเบียขึ้น แต่ ktc ก็ผ่านครับ กำไรโตขึ้น 14 %

    9. เรืองหนี้เสียนี่ไม่กลัวครับ ขนาดนี้เสียมหาศาล ยังกำไรดีขนาดนี้ และผมมองในแง่ดีว่า อนาคต ktc จะเรียนรู้ และทำให้หนี้เสียลดลงเรือยๆครับ เพราะ เก็บลูกค้าดีๆไว้ และค่อยๆ ปล่อยเพิ่มกับลูกค้าดีๆ ต่อไป เรืองแบบนี้เรียนรู้ได้ครับ แต่ที่ผ่านมา โตเร็วไปหน่อย ในแง่ สินเชื่อ

    ตอบลบ
  8. HSBC ขายในราคาประมาณ 3500 ล้าน

    มีทรัพย์สิน 13500 ล้าน
    มีหนี้สิน 17200 ล้าน
    ต้องใส่เงินเข้าไปอีกประมาณ 3700 ล้าน เพื่อให้ ทรัพย์สินและหนี้สินเท่ากัน
    และขายให้ BAY 3500 ล้านบาท

    ส่วน KTC มีทรัพย์สิน 47000 ล้าน
    หนี้สิน 41000 ล้าน

    * สินเชื่อก็อยู่ใน ทรัพย์สิน
    ลองประเมินราคาเหมาะสม KTC กันนะครับ

    ที่มา : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=4&t=17164&view=unread

    ตอบลบ
  9. ตีราคาKTCพุ่ง30บ. ระเฑียรลั่นฟื้นทำกำไร
    วงการตลาดทุนประเมินราคาหุ้นบัตรกรุงไทยใหม่ 25-30 บาท เมื่อเทียบกับ BAY ซื้อ HSBC ถือว่าหุ้น KTC ถูกมาก คาดมีสิทธิ์ขอถอนออกจากตลาดฯ ขณะที่ลูกค้าบัตรกลุ่มข้าราชการพุ่งหลังขึ้นเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท ผู้บริหาร KTC ลั่นฟื้นทำกำไร ปี 2556 พีคสุด

    ตอบลบ
  10. บล.กรุงศรี : KTC แนะนำ 'ขาย' มูลค่าพื้นฐาน 27.60 บาท

    สำรองหนี้ฯลดลง กำไรสุทธิสูงขึ้น
    คาดว่ากำไรสุทธิจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 55 ต่อเนื่องในปี 56 จากการลดลงของ
    ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ มองว่าการบริหารและควบคุมหนี้เสียเป็นหัวใจสำคัญต่อการพลิกฟื้นผล
    ประกอบการรวมถึงการเพิ่มกิจกรรมและกลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มฐานลูกค้ามีความจำเป็นมาก
    ในภาวะการแข่งขันที่สูงปัจจุบัน แม้ว่า KTC จะมี Catalyst ในการลงทุนเรื่องการฟื้นตัวของ
    กำไร แต่ราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 173% จากสิ้นปี 54 สะท้อนความคาดหวังไปมากเช่นกัน
    ขณะที่ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลมีการแข่งขันสูงอาจจะทำให้ค่าใช้จ่ายการตลาดปรับสูง
    ขึ้นมากได้ และส่งผลกระทบทำให้เกิดความผันผวนของกำไรในอนาคต เราคงคำแนะนำ ขาย
    โดยปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานเป็น 27.60 บาท จาก 21.50 บาท ตามการปรับเพิ่มประมาณการ
    กำไร Target P/E 12 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (เฉพาะในปีที่มีกำไร 5 ปีย้อนหลัง) และ
    เป็นระดับ P/E เฉลี่ยที่มีการซื้อขายของกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ย้อนหลัง 5 ปี

    คุณภาพพอร์ตสินเชื่อและการทำการตลาดเป็นหัวใจของการเติบโตอย่างยั่งยืน
    จากการเข้าประชุมกับ KTC วานนี้ สรุปสาระสำคัญ
    • ผู้บริหารมองว่าการควบคุมค่าใช้จ่ายการดำเนินงานยังเป็นไปตามแผน โดยค่าใช้
    จ่ายการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นใน 3Q55 เป็นผลมาจากการเพิ่มจำนวนพนักงานในส่วนติดตามหนี้
    ที่มีการโอนย้ายมาจากการใช้บริษัทภายนอกกลับมาดำเนินการภายในบริษัทเอง, ค่าใช้จ่ายการ
    ตลาดสูงขึ้น และการบันทึกตีราคาด้อยค่าสินทรัพย์ในอุปกรณ์และระบบงานคอมพิวเตอร์ 386
    ล้านบาท จะเกิดขึ้นครั้งเดียว ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มทำการตลาดตั้งแต่ปลาย 3Q55 และต่อเนื่องใน
    4Q55 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของลูกค้า ทำให้ค่าใช้จ่ายทางการตลาดจะปรับสูงขึ้นใน 4Q55
    • บริษัทตรวจสอบและติดตามคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อทุกเดือน พบว่ายังไม่มี
    สัญญาณลบจากการปรับขึ้นของหนี้เสีย นอกจากนี้ การที่บริษัทดึงหน่วยงานติดตามหนี้กลับมาทำ
    เองทำให้มีประสิทธิภาพในการติดตามหนี้ที่ดีขึ้น ทำให้หนี้เสียมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องในอีก
    1-2 ไตรมาส
    • บริษัทได้ตั้งสำรองหนี้ฯ สำหรับกรณีอุทกภัยปลายปี 54 รวม 622 ล้านบาท ใน
    4Q54 แต่ด้วยคุณภาพสินเชื่อฟื้นตัวดีกว่าคาด ทำให้มีสำรองหนี้ฯ ส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้ราว 300
    ล้านบาท ได้ถูกกันไว้เป็น general provision รองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากภาวะ
    เศรษฐกิจที่ผันผวนในอนาคต และยังไม่มีนโยบายกลับสำรองหนี้ฯ เป็นรายได้ ทั้งนี้ แม้บริษัทไม่
    ได้เปิดเผยนโยบายการตั้งสำรองหนี้ฯ ระดับปกติที่เท่าไหร่ (ผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวใน Q2-
    Q3 เป็นเพราะสำรองหนี้ฯ ลดลง) แต่ผู้บริหารมองว่าระดับสำรองหนี้ฯ ที่ตั้งใน 3Q55 ถือเป็น
    ระดับปกติ
    • ผลกระทบจากที่คู่สัญญาผู้ให้บริการไม่สามารถส่งมอบงานในระบบงานคอมพิวเตอร์
    ได้ตามเวลาที่กำหนดในเดือน พ.ค. 55 ทำให้บริษัทต้องเปลี่ยนแผนติดต่อกับบริษัทใหม่ โดยคาด
    ว่าระบบงานคอมพิวเตอร์ใหม่จะเริ่มใช้ได้ในเดือน ก.พ. 56 ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
    และสร้างรายได้ให้ KTC ในอนาคต

    ทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้นใน 4Q55 เน้นลูกค้าระดับกลางและลูกค้าระดับบน
    บริษัทจะทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้นใน 4Q55 มุ่งที่ลูกค้าระดับกลางที่เป็นฐานลูกค้า
    ใหญ่ และลูกค้าระดับบน การเสนอสิทธิประโยชน์ผ่านการใช้คะแนนสะสม “KTC Forever
    Rewards” ด้วยการเพิ่มจำนวนจุดรับแลกคะแนนสะสมครอบคลุมทั่วประเทศ และมีแผนร่วมมือ
    กับพันธมิตรชั้นนำ เช่นร่วมมือกับ KTB และพันธมิตรคู่ค้าด้านธุรกิจท่องเที่ยว, ด้านประกันภัย
    และด้านความงาม สำหรับธุรกิจสินเชื่อบุคคล ขยายฐานสินเชื่อพร้อมใช้ (KTC Cash Revolve)
    ในช่วง Q4 ที่ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นด้วยการจัดโปรแกรมส่งเสริมการตลาดด้วยการลด
    อัตราดอกเบี้ย รวมทั้ง การร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยขยายฐานลูกค้าที่เป็นข้าราชการและรัฐ
    วิสาหกิจ

    ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 55-56 จากการปรับลดสำรองหนี้ฯ
    ผลการดำเนินงาน 9M55 ของ KTC ทำได้ดีกว่าคาด โดยเฉพาะความสามารถในการ
    แก้ไขหนี้เสียทำให้ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯต่ำกว่าคาด เราปรับสมมติฐานสำรองหนี้ฯ ต่อสินเชื่อในปี
    55 ลดลงจาก 8% เหลือ 7.4% (คาดสำรองหนี้ต่อสินเชื่อใน 2H55 ลดลงที่ 5.8% จากราว 9%
    ใน 1H55) ทำให้ปรับประมาณการกำไรปี 55 เพิ่มขึ้น 26% เป็น 181 ล้านบาท พลิกจากที่ขาด
    ทุน 1.62 พันล้านบาท ในปี 54 นอกจากนี้ เราปรับลดสมมติฐานสำรองหนี้ฯ ต่อสินเชื่อในปี 56
    ลดลงจาก 7.5% เหลือ 6.4% ทำให้ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ ปรับลดลง 15% เหลือราว 2.9 พันล้าน
    บาท และปรับประมาณการกำไร ปี 56 เพิ่มขึ้น 31% เป็น 593 ล้านบาท (+228%YoY)
    เรียบเรียง โดย ปุณณภา นาเมืองรักษ์
    อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com

    ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 16/11/12 เวลา 9:55:39

    ตอบลบ