ก่อนอื่นออกตัวว่าบทความนี้เป็นการเขียนถึงลักษณะของธุรกิจค้าปลีกคร่าวๆทั้งนั้น ไม่ได้เป็นคำชวนเชิญให้ซื้อหุ้นแต่อย่างใด
แต่ก่อนผมแกะงบไม่เป็นผมเคยคิดว่าเวลาจะคิดว่าหุ้นค้าปลีกกำไรจะโตกี่ % ก็คิดว่าเขาขยายสาขากี่% ไปเลย เช่นแต่เดิมมี 20 สาขา เปิดเพิ่มสองสาขาก็เป็น 22 สาขา รายได้และกำไรก็น่าจะโตได้ 10%
5555 (สมัยนี้ไม่คิดแบบนั้นแล้วนะ)
แต่จริงๆแล้วเวลาเราแกะงบเราต้องไล่จากยอดขายลงมาเช่น
ถ้าบริษัทมียอดขาย 1 แสนล้าน มีสาขาอยู่ 50 สาขา แล้วเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา เราต้องดูว่าสาขาที่เปิดเพิ่มเปิดช่วงต้นปี กลางปี หรือ ปลายปี ถ้าเปิดต้นปี ยอดขายของปีปัจจุบันจะได้รับผลโตมากกว่าไปเปิดปลายปี
นอกจากนี้เราต้องดูว่าสาขาที่เปิดมีพื้นที่มากน้อยแค่ไหนที่เป็นจำนวน ตารางเมตร เมื่อเทียบกับสาขาเดิมๆ จะทำให้เราพอจะรู้ได้ว่ายอดขายจะโตได้เท่าไหร่
จุดที่สำคัญจุดแรกของหุ้นค้าปลีกคือ sssg หรือ same store sale growth หรือยอดขายสาขาเดิม
สมมุติว่า makro มียอดขาย 97000 ล้าน และเราคาดว่าปีต่อไปจะมี sssg โต 6% ยอดขายของปีต่อไป 102820 การพิจรณาการเติบโตของ sss เป็น art เล็กน้อยเราต้องคอยติดตาม movement ของบริษัทว่าจะมีแนวโน้มไปในทางไหน หลังจากที่เราได้ยอดขายสาขาเดิม เราก็มาดูต่อว่าบริษัทเปิดสาขาเพิ่มกี่สาขา อย่างกรณี makro เบื้องต้นจะเปิดอีก 3 สาขาในช่วงต้นปี เราก็ลองไปดูว่าสาขาเหล่านั้นใหญ่ไหมและมีกำลังซื้อมากไหม แล้วเราก็ตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับยอดขายที่เพิ่ม สมมุติว่าเราคิดว่าอีก 3 สาขาที่เปิดเพิ่มจะทำให้ยอดขายทั้งปีเท่ากับ 5 พันล้าน เราก็นำ 102820 คือยอดขายสาขาเดิม + 5000 เป็นยอดขายที่เราคาดการณ์ของปีนี้เป็นต้น
ธุรกิจค้าปลีกแตกต่างจากธุรกิจรับจ้างผลิต ถ้าบริษัทมีกำลังผลิตเท่าไหร่ยอดขายก็มักจะเท่าเดิมแต่ขายปีจะมีการเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาเดิมตลอด บวกกับ สาขาใหม่ทำให้การเติบโตค่อนข้างแน่นอน
ประเด็นต่อมาคือหุ้นค้าปลีกส่วนใหญ่จะรับเงินสด แต่จ่ายเงินเชื่อทำให้แม้จะขยายสาขาจำนวนมากบริษัทก็จะไม่ขาดเงินสด
ประเด็นต่อมาที่ทำให้ธุรกิจนี้กำไรโตมากคือการเพิ่มขึ้นของ gross margin ซึ่งมักจะมาจากสินค้าที่บริษัทได้กำไรมากกว่า เช่นกรณี cpall การขายแซนวิช หรืออาหารแช่แข็งบริษัทย่อมได้กำไรมากกว่าการขาย เถ้าแก่น้อยหรือมาม่า กรณีของ hmpro bigc makro ก็ขายสินค้า house band ก็คือสินค้าของบริษัทเอง การเพิ่มขึ้นของ gross margin นั้นส่งผลต่อกำไรสุทธิ์สูงมาก
ลองดูตัวอย่าง สมมุติตัวเลขธุรกิจค้าส่ง
sale 10000 gm 7% npm 2%
กำไรขั้นต้น 700 ล้านกำไรสุทธิ์ 200 ล้าน
ถ้า gross margin เพิ่มเป็น 8% จะกระทบต่อ npm สูงมาก
เนื่องจากค่าเสื่อมราคาไม่เพิ่ม(ถ้าไม่ขยายสาขา)ดอกเบี้ยจ่ายไม่เพิ่ม
สมมุติว่า gross margin เป็น 800 ล้านค่าใช้จ่ายอื่นๆแทบจะเหมือนเดิม เท่ากับกำไรส่วนเพิ่ม 100 ล้านนี้แทบจะไม่ต้องลบกับอะไรเท่าไหร่ ถ้าบริษัทมีฐานภาษี 30% กำไรส่วนเพิ่มก็จะเหลือ 70 ล้าน เท่ากับว่า กำไรเติบโต 20% เศษๆถ้าเทียบจากฐานกำไรเดิม 200 ล้าน โดยที่ยังไม่นับ sssg และสาขาใหม่กับรายได้อื่นๆ
ประเด็นต่อมาคือ การเปรียบเทียบ net profit margin ของหุ้นแต่ละตัวข้ามกันเช่น bigc marko ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเนื่องจาก bigc ขายให้ลูกค้าปกติแต่ makro เน้นค้าส่งจะทำให้ makro จะต้องมี margin น้อยกว่าเนื่องจากว่าถ้า makro margin เท่า bigc แล้วพวกโชว์ห่วยที่ซื้อของจาก makro จะไปขายกำไรได้อย่างไร
เราสามารถเห็นได้จาก gm ของ bigc ไตรมาสล่าสุด 16.6% ส่วน makro 8.6%
แต่สิ่งที่ชดเชยก็คือ makro มียอดขายปีล่าสุด 97000 ล้านแต่มีสินทรัพย์ 30319
แต่ bigc มียอดขาย 113640 แต่มีสินทรัพย์ 90000 จะเห็นได้ว่า makro มียอดขายเกือบ 3 เท่าของสินทรัพย์
แต่ bigc มีเพียง 1 เท่าเศษ ซึ่งทำให้แม้ gross margin ของ makro จะน้อยกว่า bigc มากแต่ขายบ่อยมากทำให้โดยรวมแล้วไม่ได้ด้อยกว่าเลย
ผมไม่ได้จะบอกว่า bigc ด้อยกว่า makro หรือ makro ดีกว่า bigc แต่ผมอยากจะสื่อว่า อย่าเทียบ ratio ข้ามกันเพราะธุรกิจต่างกันแม้จะอยู่กลุ่มเดียวกันครับ
ตอนหน้ามาดู cpall hmpro robins กันบ้างครับว่ามีปัจจัยอะไรบ้าง
ที่มา : http://hongvalue.wordpress.com/ เครดิตคุณ Hong Value แห่ง VI
การวิเคราะห์หุ้นค้าปลีกเช่น Makro
ตอบลบ- การวิเคราะห์รายได้
1.ดูยอดขายของปีก่อน ๆ ที่มี
2.ดูว่า ปีนี้จะมีการเพิ่มของยอดขายได้เท่าไหร่
3.ปีนี้มีการขยายสาขา(SSSG)หรือไม่ ถ้ามีแบ่งเป็น 2 กรณี
3.1 สาขาที่เปิดใหม่นั้น เปิดช่วงไหนของปี (เดือนไหนนั่นเอง)
3.2 สาขาที่เปิดใหม่มีพื้นที่เท่าไหร่
3.3 ทำเลอยู่แถวไหน คาดว่าคนมีกำลังซื้อเท่าไหร่
เท่านี้เราก็พอจะสามารถคาดการณ์ยอดรายได้คร่าว ๆ ได้แล้วครับ
- การวิเคราะห์ Margin หรือ อัตรากำไรต่อรายได้
โดยปกติการขายสินค้าที่เป็นแบรนด์ของตนเองมักมี GM สูงกว่าการขายของแบรนด์อื่น ๆ เช่น cpall ขาย มาม่าจะได้ gm น้อยกว่า ขายแซนวิชของตัวเอง ดังนั้นหากเราสามารถเพิ่ม Margin เองได้ จะทำให้มีผลต่อกำไรมหาศาล เนื่องจากมี cost ที่คงที่อยู่ด้วย ดังตัวอย่าง Margin เพิ่ม 1% กำไรเพิ่มขึ้นถึง 20% เลย
เมื่อเราได้รายได้และมาร์จิ้นที่ควรจะเป็นเราสามารถหากำไรสุทธิคร่าว ๆ แล้วเอาไปกำหนดราคา หรือเอาไปเทียบกับคู่แข่งได้ว่า หุ้นตัวไหนถูกกว่ากันในกลุ่มได้
อย่าหลงประเด็นในการวิเคราะห์หลักทรัพย์แต่ละตัวในกลุ่มเดียวกัน
-การวิเคราะห์ Margin เทียบกันระหว่างคู่แข่ง
เราต้องทราบแน่ชัดก่อนว่า คู่แข่ง คือผู้ที่เข้ามาแย่งลูกค้ากลุ่มเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น Makro กับ Bigc ลูกค้าต่างกัน เพราะขายปลีก กับขายส่ง ฉะนั้นอย่าหลงประเด็นเด็ดขาด Bigc ควรจะมี Margin สูงกว่า แต่ Turnover ratio(ยอดขาย/สินทรัพย์) Makro ย่อมสูงกว่าแน่นอนเพราะต้องการขายเร็ว
กำไรสุทธิที่ได้มาทำให้เราพอจะทราบกันแล้วว่าเราควรเลือกหุ้นตัวไหนในกลุ่มค้าปลีก